คู่หมั้น
เขียนโดย Mawmeaw
วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22.13 น.
แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 16.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ความจริงก็คือ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ เมรียารู้ดีว่ายังไงเธอก็ต้องไปคุยธุระกับลูกชายของคุณสุดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งๆ ที่เธอไม่อยากจะไปเลยสักนิด ด้วยความที่รู้สึกว่าชายหนุ่มมีท่าทางไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องเรียน
สุมลรัตน์ก็รีบกลับด้วยรู้ว่าเพื่อนมีธุระที่ต้องไปคุยกับชายหนุ่มจึงไม่ได้รอเหมือนเช่นทุกวัน
เมรียาเดินออกมาตามลำพัง เมื่อมองไปรอบๆ ทางด้านหน้ามหาวิทยาลัย หล่อนกลับไม่พบชายหนุ่มที่กำลังยืนรออยู่
เธอแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่สองเท้าเล็กกำลังจะก้าวเดินออกจากมหาวิทยาลัยก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“คุณเมย์ครับ หวังว่าคุณคงไม่ลืมที่เรานัดกันไว้นะครับ”
เมื่อเมรียาหันหลังกลับไปมองก็พบว่าสุกริชนั่งรอเธออยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดียวกับที่เธอนั่งรอเพื่อนเมื่อเช้านี้
ชายหนุ่มมีสีหน้ายิ้มแย้มและเดินเข้ามาหาเธอ ดูเหมือนเขาจะอ่านความรู้สึกของเธอออกอีกแล้ว ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะครับ แต่ดูเหมือนว่าคุณเมรียากำลังจะปล่อยให้ผมรอเก้อซะแล้วสิครับ”
เขาพูดพลางยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก ถ้าเป็นสาวๆ คนอื่นคงอดหวั่นไหวไม่ได้
แต่สำหรับเมรียา เธอกลับรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเจ้าเล่ห์ของเจ้าของรอยยิ้มแบบนั้นต่างหาก
อาจเป็นเพราะมีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่ไว้ใจใครง่ายๆ และอาจจะด้วยนิสัยที่เป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยแสดงออกมากนักของเธอเองก็ได้
ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้าและเป็นผู้ชายเช่นเขาสองต่อสอง
เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอจึงจำใจนั่งรถไปกับชายหนุ่มแต่โดยดี
ที่ร้านอาหาร สุกริชเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาบนโต๊ะอาหารอีกครั้ง เขาไม่รอช้ารีบพูดอ้อมไปเข้าประเด็นทันที
“คุณเมย์ครับ คุณคิดอย่างไรบ้างกับประเพณีสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่เขามักจะเลือกคู่หรือหาคู่ให้กับลูกหลานของตัวเอง โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
เมื่อหญิงสาวได้ฟัง ก็นึกแปลกใจว่าทำไมผู้ชายตรงหน้าเธอถึงได้หยิบยกประเด็นนี้มาคุยบนโต๊ะอาหาร ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย
แถมอีกอย่าง ประเด็นแบบนี้คุณอาลิสาแม่ของเธอก็เคยเลียบๆ เคียงๆ ถามเธอมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน นั่นยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก
หญิงสาวจึงตอบไปว่า
"ก็แล้วแต่มุมมองของใครของมันนะคะ แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าผู้ใหญ่คงมีเหตุผลที่ดีในการเลือกคู่ครองที่เห็นว่าเป็นคนดีและเหมาะสมให้กับลูกหลานของตนเอง"
"แต่ถ้าคิดในเชิงจิตวิทยา วิธีคลุมถุงชนแบบนั้นไม่ค่อยเหมาะกับคู่รักสมัยนี้เท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะดูเป็นการฝืนใจและบังคับใจคนสองคนมากเกินไป"
"โดยเฉพาะถ้าเธอหรือเขาคนนั้นมีคนที่ตนเองรักอยู่แล้ว ยิ่งจะเป็นเรื่องที่ทรมานจิตใจกันทั้งสองฝ่าย คุณว่ามั้ยล่ะคะ คุณสุกริช”
ประโยคสุดท้าย หล่อนย้อนกลับมาถามเขา ทำเอาชายหนุ่มแทบสะดุ้ง จริงสิ! เขายังไม่รู้เลยนี่นาว่าเมรียามีคนรักอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่า
แต่สำหรับคนบ้างานอย่างเขาแทบจะไม่ได้สนใจใครจริงจังเลย จนกระทั่งคุณสุดาส่งรูปหล่อนมาให้ทางอีเมลล์นั่นแหละ จึงทำให้เขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เขาตอบเธอและตัดสินใจแบบตรงไปตรงมา ด้วยความที่เขาเป็นคนมีนิสัยเปิดเผยอยู่แล้ว
“ครับผมก็คิดว่างั้น และผมขอถามอีกนะครับ ถ้าสมมติว่าคุณเพิ่งจะทราบว่าตัวคุณมีคู่หมั้นอยู่ โดยที่คุณกับเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย คุณจะทำยังไงครับ”
เมื่อเขาพูดจบ เธอยิ่งนึกสงสัยมากเข้าไปอีก นี่เขาพยายามจะบอกอะไรเธออยู่กันแน่
แทนที่จะเข้าเรื่องที่เป็นธุระที่คุณแม่ของเขาฝากมา แต่นี่เขากลับถามคำถามอะไรกับเธอก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่น่าจะถามในสถานการณ์อย่างนี้เอาซะเลย
หญิงสาวจึงตอบไปเพียงสั้นๆ ว่า
“ไม่มีทางค่ะ เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับฉันหรอก ถึงจะเป็นแค่เรื่องสมมุติก็เถอะค่ะ”
คำตอบของเมรียาทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เธอจึงถามเขากลับคืนไปบ้างว่า
“แล้วถ้าสมมุติเป็นคุณบ้างล่ะคะ คุณจะทำยังไง”
คราวนี้เขากลับมารวบรวมความกล้าทั้งหมด ตอบหล่อนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า
“ถ้าเป็นผมเหรอครับ ถ้าผมทราบว่าผมมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ผมจะมาพบเธอ ให้โอกาสกับทั้งตัวเธอและผมได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และถ้าเราสองคนต่างเป็นคนที่ใช่ของกันและกันได้จริงๆ เรื่องหมั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรครับ”
เมื่อพูดจบเขาก็มองหน้าเธอ เหมือนพยายามจะสื่อความหมายว่าที่เขาพูดมามันเป็นความจริงสำหรับตัวเขาเองในตอนนี้
ชายหนุ่มพยายามจะบอกเธอว่า ผู้หญิงที่เขาพูดถึง ตอนนี้หล่อนก็นั่งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่เข้าใจในความหมายที่ชายหนุ่มพยายามสื่อสารกับเธอ เธอกลับถามขึ้นมาอีกว่า
“นี่คุณสุกริช ฉันคิดว่าคุณไม่น่าจะเป็นคนที่พูดอ้อมค้อมนะ คุณก็เป็นผู้ใหญ่และก็อายุมากกว่าฉันเสียอีก แล้วคุณมีเหตุผลอะไรที่จะไม่พูดธุระของคุณตรงๆ กับฉันเสียทีล่ะค่ะ”
เขารู้ว่าเธอคงรำคาญกับคำถามอ้อมค้อมพวกนี้เต็มทีแล้ว อีกอย่างคำพูดและน้ำเสียงของเธอก็บอกให้รู้ถึงความไม่พอใจของเจ้าของคำพูดที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นแล้ว
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปสักพัก เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเขาบอกความจริงกับเธอไปตอนนี้เลย
และแล้วความเงียบก็ถูกจู่โจมด้วยน้ำเสียงของเมรียาที่พูดขึ้นว่า
“เอาล่ะค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงไม่มีอะไรที่จะพูดกับฉันอีก นี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว ฉันคิดว่าฉันให้เวลากับธุระของคุณมามากพอแล้ว เห็นทีวันนี้ฉันต้องขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะ”
ความจริงเธอไม่ได้กลัวเสียเวลาหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เธอแค่ต้องการเร่งให้ชายหนุ่มพูดเข้าเรื่องเสียทีต่างหาก
แต่ดูเหมือนมันจะใช้ไม่ได้ผลสำหรับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของหล่อน เพราะเขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิมอย่างนั้น
เมื่อเป็นดังนั้น เมรียาก็ไม่รอช้าเธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนเตรียมจะก้าวขาออกไปจากร้านอาหารแห่งนั้นทันที
แต่แล้วเสียงของชายหนุ่มก็ทำให้หล่อนต้องชะงักเท้าเอาไว้เพียงแค่นั้น
เมื่อเขาพูดว่า
“เดี๋ยวก่อนครับคุณเมรียา ความจริง ที่ผมมาหาคุณวันนี้ ผมมีเรื่องสำคัญที่จะบอกคุณ คือ คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว และคู่หมั้นของคุณคนนั้นก็คือผมเอง เราก็เป็นคู่หมั้นกันครับ ”
( โปรดติดตามตอนต่อไป )
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ