What is under the moonlight

6.8

เขียนโดย kang

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.

  11 ตอน
  49 วิจารณ์
  17.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ออกตามล่า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เมื่อมาร์คัสเล่าเรื่องทุกอย่างจนจบ มาร์คัสได้แต่นั่งนิ่งน้ำตาคลอ ส่วนจอห์นสันที่นั่นฟังเรื่องราวทั้งหมดก็ได้แต่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออก              

“สรุปคือว่า ไอ้ตนที่ฉันเจอ คือตนที่รอดไปได้อย่างงั้นเหรอ?” จอห์นสันถามด้วยเสียงจริงจัง

                “ใช่ ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่า มันจะสามารถรอดชีวิตรอดมาได้  ฉันไม่เคยคิดเลยจริงๆว่า ออกมาจากหมู่บ้านมา แล้วสมัครเป็นทหารและถูกส่งมาที่นี่จะต้องมาเจอมันอีกครั้ง” มาร์คัสพูดด้วยที่จริงจังแบบเดียวกัน

                “มาร์คัส ที่นายเล่ามาคือ ทุกคืนวันเพ็ญพวกมันจะกลายร่างแล้วออกล่าใช่มั้ย?” จอห์สันถามด้วยใบหน้าที่เริ่มจริงจังยิ่งกว่าเดิม   มาร์คัสไม่ตอบอะไรนอกจากหันมาแล้วพยักหน้าให้แทนคำตอบ

                “ถ้ามันมีสองตน อีก 2 วัน ก็จะเป็นคืนวันเพ็ญแล้ว เราจะทำยังไงกันดี?” จอห์นสันเริ่มแสดงอาการเครียดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

                “ฉันไม่รู้สิ ถึงบอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก ก็คงได้แต่ภาวนาล่ะมั้งว่า อย่าให้มันมาที่นี่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราได้เจอวิกฤตแน่ ตอนนี้ฉันเองก็มีแค่มีดเงินเล่มเดียวด้วย” มาร์คัสพูดพร้อมกับชักมีดเงินออกมาจากซอง

                “มาร์คัส นายพอจะรู้มั้ย ผู้หญิงปริศนา คนนั้นเป็นใคร อะไรคือ เลือดผสม และ พวกมนุษย์หมาป่ามันมาได้ยังไง?” จอห์นสันถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่จริงจังมากยิ่งขึ้น

               “ฉันไม่รู้สิ ฉันแค่เคยได้ยินจากตำนาน ในหมู่บ้านนั้นว่า ครั้งหนึ่งมีทหารนายกองผู้มักใหญ่ใฝ่สูงและเป็นคนที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์คนหนึ่ง ไร้ซึ่งคำว่าเมตตาและศรัทธา ไล่ฆ่าคนแคว้นอื่นๆ และชอบบูชาดวงจันทร์ทุกคืนวันเพ็ญ จนถูกนักบวชสาป ให้กลายเป็นมนุษย์หมาป่า ให้ออกสร้างความหายนะแก่ผู้อื่นดั่งที่นายกองคนนั้นต้องการ จนได้นำเกิดมนุษย์หมาป่าชั้นต่ำขึ้นมา แต่ไม่นานจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าก็มาถึงจนได้ อะไรประมาณนี้ แต่ ฉันเองก็ไม่เคยคิดเลยว่า ตัวละครในนิทานมันจะมีตัวตนอยู่จริง และไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมถึงมีแต่อาวุธเงินเท่านั้นที่จะสยบพวกมันได้" เมื่อมาร์คัสพูดจบ ทันใดนั้น เสียงของทหารนายหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านข้างของพวกเขา

                “แหม พวกแกเล่าเรื่องผีกันอยู่เหรอ?” เมื่อพวกเขาหันไปมอง ทหารสองนายนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“เสียใจด้วยนะที่ขัดจังหวะ ถึงเวลาเปลี่ยนเวรแล้ว”

จอห์นสันกับมาร์คัสไม่รอช้า พวกเขารีบหยิบปืนแล้วลุกขึ้นยืน แล้วออกเดินพร้อมกับที่ทหารสองนายนั้นเดินเข้ามานั่งแทนที่ที่พวกเขาเคยนั่ง 

หลังจากที่ทั้งสองเดินออกตรวจความเรียบร้อยรอบๆที่มั่นมาได้สักพักใหญ่ๆ จอห์นสันก็เริ่มเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบที่น่าวังเวง

“มาร์คัส นายพอจะคาดได้มั้ยว่า มีโอกาสมากแค่ไหนที่พวกมันจะมาที่นี่?”

เมื่อจอห์นสันพูดจบ มาร์คัสได้แต่ถอนใจยาวๆแล้วจึงหันมาตอบอย่างอ่อนใจ

 “อยากให้ฉันตอบแบบตรงๆ หรือ จะเอาแบบให้สบายใจขึ้นบ้างล่ะ?”

จอห์นสันหันไปจ้องมองหน้าเพื่อนด้วย ใบหน้านิ่งๆเพื่อสื่ให้รู้ว่า เขาต้องการคำตอบแบบไหน

มาร์คัสก้มศีรษะลงเล็กน้อย แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่จอห์นสันไม่เคยคิดอยากจะได้ยินเลย

“ฉันเกือบมั่นใจว่า มันมาแน่  พวกมันรู้ที่มั่นพวกเราแล้ว  รอบๆนี้ก็ไม่มีอะไรให้พวกฆ่าอีกแล้ว เสียงปืนและเสียงหวีดร้องก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่าต้องเป็นฝีมือพวกมันอย่างแน่นอน อีกอย่าง ไอ้ตนตาบอด มันดูมีแนวโน้มมากที่สุด   มันคงรอเวลาเพื่อล้างแค้นฉันอยู่แล้ว  และยิ่งตอนนี้คนที่มันอาฆาตก็ไม่ใช่แค่ฉัน มันอาฆาตนายด้วย !”

 จอห์นสันเมื่อได้ยินแบบนั้น ภาพในวันที่แดนนี่ถูกกัดก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง ภาพที่เขาเดินออกมาจากเต็นท์พยาบาล และเห็นดวงตาจ้องมายังเขาอย่างอาฆาต  ซึ่งในตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่า คืนนั้นมันไม่ได้มองเขาเพียงคนเดียว มันจ้องมองมาร์คัสด้วย !

………………….

หลังจากที่เริ่มเข้าช่วงเวรที่สอง ทอมกับเบ็น ต่างพากันเดินตรวจความเรียบร้อย ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กันเสียเท่าไหร่ และไม่ได้พูดอะไรกันเลย จนทำให้บรรยากาศรอบด้านที่มืดมิด ดูน่าวังเวงยิ่งกว่าเดิม นานๆครั้งที่ทั้งสองจะพบกับทหารที่ประจำแต่ละจุด จนในที่สุดเบ็นก็เริ่มไม่สามารถที่จะอดทนกับความอึดอัดได้ เขาจึงเริ่มพูดออกมา

“นี่ ทอม ตั้งแต่ที่ทุกคนลงความเห็นว่าไอ้แดนนี่ มันตายไปแล้ว นายรู้สึกเสียดายมั้ย หรือ ผิดหวังมั้ย?”

“เสียดายสิวะ ถ้ามันต้องตาย ฉันอยากให้มันตายด้วยมือฉันเอง อยากจะเล่นงานมันให้ตายกันไปข้างเลยจริงๆ ว่าใครมันจะฆ่าใครก่อน แต่มันดันมาชิงตายไปเสีย ...” ยังไม่ทันที่ทอมจะได้พูดจนจบ เบ็นก็รีบเอามือแตะหัวไหล่ของเพื่อนอย่างแรงแล้วมองไปยังด้านนอกที่มั่น ทำให้ทอมเกิดอารมณ์เสีย   แล้วหันมาจ้องมองเพื่อนด้วยแววตาที่ดุดัน

“อะไรของแกวะ เบ็น เป็นบ้าอะไร?” ทอมกัดฟันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ที่จู่ๆเบ็นก็มาขัดจังหวะเวลาที่เขาพูด      

เบ็นไม่ตอบอะไรกลับ นอกจากยื่นหน้าไปทางด้านหน้าราวกับว่า เขาต้องการจะให้ทอมมองอะไรบางอย่างด้านนอกที่มั่น ทอมส่ายหน้าแล้วหันไปมองยังด้านนอกที่มั่น อย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก และทันใดนั้นเขาถึงกับต้องทำคิ้วหมวดด้วคยวามสงสัย ที่เขาเห็นว่า มีเงาของใครบางคนกำลังเดินเพ่นพ่านอยู่ดเนนอกที่มั่น ทอมพยายามเพ่งมองไปยังเงาของใครคนนั้น จนสายตาเขาเริ่มสามารถปรับตัวเข้ากับมืดได้  และภาพที่เขาได้เห็นนั่นก็คือ  ทหารคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารอเมริกันที่ขาดรุ่งริ่ง ซึ่งทอมพอจะสังเกตจากลักษณะภายนอกได้ว่า ลักษณะรูปร่างแบบนั้น มันจะต้องเป็น “แดนนี่” อย่างแน่นอน  ทอมยิ้มออกมาอย่างรู้สึกดีใจเป็นที่สุด พร้อมกับที่เขาเหล่ตามองมาทางแบ็นอย่างมีเลศนัย

“เอ็งน่ะ  เฝ้าต้นทางไว้นะ ขอไปทำธุระหน่อย” ทอมพูดเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจ เบ็นพยักหน้าตอบพร้อมกับเอ่ยเตือนเหมือนเป็นการสนับสนุน

“เงียบๆ และ เร็วๆล่ะ” ทอมหันมายกนิ้วโป้งขึ้นเป็นสัญญาณอย่างรู้กัน แล้วรีบปีนขึ้นจากหลุม แล้วค่อยๆย่องไปทางด้านหลังของแดนนี่อย่างเงียบๆ

                เมื่อเข้าระยะที่ใกล้มากพอ ทอมรีบเหวี่ยงพานท้ายปืนฟาดเข้าที่ท้ายทอยของแดนนี่อย่างแรง จนแดนนี่ล้มคว่ำหน้าลง  ทอมยิ้มอย่างสะใจ ที่เขารอคอยเวลานี้มานานแล้ว

                “ฉันไม่รู้หรอกนะว่า แกกลับมาได้ยังไง แต่ฉันไม่สนหรอกโว้ยยยย!!” ทอมพูดอย่างดุดันแล้ว เตะเข้าที่เอวของ   แดนนี่ที่กำลังดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างแรง จนแดนนี่ล้มลงไปอีกครั้ง แต่ทอมกลับยังไม่รู้สึกสะใจพอ เขารีบเตะเข้าที่ใบหน้าแดนนี่อย่างแรงยิ่งกว่าเดิม จนแดนนี่หน้าหัน แต่แดนนี่กลับไม่ร้องอะไรออกมานอกจากทำเสียงครางแปลกๆ

“ฮื่ออออออออออออออออออ” แดนนี่ส่งเสียงครางยาวๆราวกับสัตว์ป่าสัตว์กำลังโกรธ ทอมเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่า ตอนนี้เขาจะรอช้าไม่ได้ ทอมรีบขึ้นนั่งคร่อมหลังของแดนนี่ แล้วค่อยๆชักมีดออกมาจากซองช้าๆ

                “รู้มั้ย แดน ที่นี่ทุกคนคิดว่าแกตายไปแล้ว ตอนนี้ถ้าฉันฆ่าแก แกก็น่าจะรู้นะว่า ใครจะไปรู้หรือมาสนกันวะ” ทอมพูดเย้ยหยัน แดนนี่ที่เริ่มส่งเสียงครางแปลกๆดังยิ่งขึ้นราวกับว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับสิ่งที่เขาพูดออกมาเลย ทำให้ทอมเริ่มบันดาลโทสะขึ้นมา

                “ขอดูหน้าแก ตอนตายหน่อยเถอะ” ทอม ลุกขึ้นมานั่งข้างๆตัวของแดนนี่ แล้วจับไหล่ของอีกฝ่ายพลิกหน้าขึ้นมา แต่แล้วภาพที่เขาได้เห็น กลับทำให้ทอมตกใจสุดขีดจนขยับตัวไม่ได้ เมื่อเขาเห็นหน้าของแดนนี่ที่กำลังแสยะเขี้ยวเปื้อนเลือดอย่างโกรธแค้น ชั่ววินาทีนั้น มันกระโจนเข้ากัดที่คอของทอมอย่างรวดเร็ว จนทอมไม่มีโอกาสที่จะได้ทันตั้งตัว

 ทอมส่งเสียงร้องดังลั่น พร้อมกับที่แดนนี่ ใช้กรงเล็บแหลมแทงเข้าที่ท้องของทอมอย่างแรง จนทอมกระอักเลือดออกมาแล้วสิ้นใจตายอย่างรวดเร็ว 

เมื่อเบ็นที่กำลังยืนเฝ้ามองต้นทาง ได้ยินเสียงร้องของทอม เขารีบปีนขึ้นมาจากหลุม แล้วใช้ไฟฉายส่องไปยังร่างของใครบางคนที่กำลังนั่งคร้อมร่างใครอีกคนหนึ่งอยู่

เมื่อส่องไฟส่องไปยังร่างของใครคนนั้น เบ็นถึงกับเกิดอาการกลัวจนก้าวเท้าไม่ออก ในทันทีที่แดนนี่ในร่างอมนุษย์ ได้เห็นเหยื่ออีกราย มันรีบวิ่งตรงไปเข้ายังร่างของเหยื่อโดยใช้แขนทั้งสอง แทนขาหน้าทำให้มันสามารถวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้น เบ็นเมื่อได้สติเขารีบหันหลังแล้วทำท่าจะออกวิ่ง แต่ทว่ามันกลับสายเกินไปเสียแล้ว เขารู้สึกราวกับมีมือเย็นๆของใครบางคนบีบเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอย่างแรง และวินาทีต่อมา แดนนี่กรงเล็บแหลมคมแทงที่ท้องของเบ็นจากด้านหลังจนทะลุออกมาทางด้านหน้า จากนั้นแดนนี่ได้ดึงมือกลับออกจากท้องของเบ็น เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจากท้องของเบ็นพร้อมเครื่องใน มือของแดนนี่เปื้อนเลือดจนกลายป็นสีแดง

เมื่อแดนนี่ได้เห็นว่า เหยื่อยังไม่สิ้นใจ มันจึงใช้กรงเล็บแทงเข้าที่ด้านหลังทะลุกลางหน้าอกของเบ็น จนเขากระอักเลือดออกมามากมายแล้วสิ้นใจไปในที่สุด  

เมื่อเหยื่อได้สิ้นใจแล้ว แดนนี่จึงยอมปล่อยร่างของเหยื่อให้ล้มลงสู่พื้น และทันทีใดนั้นเอง

 ‘ปัง’ เสียงปืนไรเฟิลดังสนั่นไปทั่วพร้อมกับที่ร่างของแดนนี่กระเด็นลอยไปไกลแล้วล้มลงสู่พื้นแน่นิ่ง ซึ่งคนที่ยิงนั่นก็คือ จ่ารอส นั่นเอง และไม่นานนักทหารนายอื่นๆในค่ายก็รีบวิ่งตามเข้ามาสมทบเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทหารทุกคนในที่มั่นต่างต้องตะลึงกับภาพที่เห็นไปตามๆกัน เมื่อแดนนี่ที่นอนนิ่ง กลับลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจ้องมองพวกเขาอย่างดุร้าย แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในป่า!

                “นี่มันอะไรกันวะเนี่ย” ทหารคนหนึ่งอุทานขึ้นอย่างไม่คิดเชื่อสายตาของตัวเอง

วิลเลี่ยมรีบวิ่งลงไปเพื่อตรวจดูอาการของทหารทั้งสองโดยมีมาร์คัสและจอห์นสันคอยคุ้มกัน แต่เมื่อวิลเลี่ยมจับชีพจรของทหารทั้งสอง เขากลับต้องส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง

“ตายสนิทเลย” วิลเลี่ยมพูดพร้อมกับเอามือปิดตาให้ ทอมและเบ็น

“จ่าครับ เอายังไงต่อดีครับ?” ทิม กับ เดล ที่ยืนอยู่ทมางด้านหลังจ่ารอสถามขึ้น ทำให้จ่ารอสได้สติอีกครั้ง

“วันนี้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยตามมันไป เจอมันค่อยฆ่าทิ้ง” จ่ารอสพูดขึ้นอาฆาต พร้อมกับสั่งให้จิมและเอ็ดเอาศพไปฝัง โดยให้มาร์คัสและจอห์นสันตามไปคุ้มกัน

ระหว่างการนำศพไปฝัง จิมและเอ็ดช่วยกันแบกศพ ส่วนจอห์นสันกับมาร์คัสทำหน้าที่เดินตามหลังคอยคุ้มกัน เมื่อจอห์นสันเห็นว่าทหารสองนายด้านหน้าไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขาที่เดินอยู่ข้างหลัง เขาจึงหันหน้าไปมองมาร์คัส เมื่อมาร์คัสหันมามองตอบ จอห์นสันใช้วิธีทำปากพูดแบบไม่มีเสียง แต่มาร์คัสยังจับใจความได้

“เอายังไงต่อดี ชักจะท่าไม่ดีแล้วนะ เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”

 มาร์คัสหันไปมองทหารสองนายด้านหน้า แล้วหันมาทางจอห์นสัน แล้วทำปากพูดโดยไม่มีเสียงกลับ

“นายคิดว่าจะทำอะรได้ล่ะ นายคิดว่าพวกเขาจะเชื่อเหรอ?”  จอห์นสันก้มหน้าลงอย่างหมดความหวัง แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะเขาเข้าใจดีว่า หากเขาไม่เจอเข้ากับตัวเอง แล้วมาร์คัสมาบอกเขา เขาก็คงจะไม่เชื่อ ซ้ำอาจจะยังคิดว่ามาร์คัสบ้าได้ เขาถอนหายใจออกมา เพื่อระบายความอึดอัดใจ ที่เขาต้องการจะช่วยเหลือทหารนายอื่นๆ แต่เขากลับไม่สามารถทำได้

                หลังจากที่จัดการฝังศพทหารทั้งสองนายเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ทหารทั้งสี่นายต่างรีบพากันเดินจ้ำอ้าวกลับไปยังสนามเพลาะ จนเมื่อสนามเพลาะที่เป็นที่มั่นของพวกเขาอยู่ไม่ไกล พวกเขาทั้งสี่รีบวิ่งพากัน แล้วกระโดดลงไปสนามเพลาะทันที จนจ่ารอสที่เดินผ่านมา ต้องรีบถามอย่างสงสัยในท่าทีของทหารทั้งสี่นาย

                “พวกนาย หนีอะไรกันมารึไง?” จ่ารอสเดินเข้ามาพร้อมกับทหารคนสนิทที่เดินตามมาติดๆ

                “เอ่อ... เปล่า ครับ พวกเรากลัวจะเจอ...เอ่อ...” เอ็ด ตอบอย่างหอบๆ จนจิม ที่ยืนอยู่ข้างๆต้องรีบใช้ข้อศอกสะกิดแขนของเพื่อน ก่อนที่จะเอ็ดจะเผลอพูดอะไรที่ไร้สาระออกมา

                จ่ารอสส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วออกคำสั่งใหม่ให้แก่ทหารทั้งสี่นาย

“พวกนายกลับไปเฝ้าเวรซะ พวกเราต้องระวังให้มากกว่าเดิม” หลังจากที่ออกคำสั่งใหม่เสร็จแล้ว จ่ารออสจึงเดินจากไปโดยมีสองทหารคนสนิทเดินตามหลังไป

เมื่อจ่ารอสเดินจากไปแล้ว มาร์คัสจึงหันมามองหน้าจอห์นสัน  ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไร้ความหมายที่จะบอกความจริงแก่จ่ารอสและทหารนายอื่นๆ ทหารทั้งสี่ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมาย มาร์คัสกับจอห์นสันกลับไปเดินเฝ้าระวังตามเดิม   ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินอย่างเงียบๆ จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่า ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด  มาร์คัสถึงเริ่มพูดขึ้นก่อน

                “เห็นท่าทางจ่ารอสแล้ว ทีนี้นายรู้ยังล่ะว่า ทำไมถึงบอกใครไม่ได้?”

จอห์นสันที่เดินอยู่ข้างๆได้แต่ทำตาเศร้าด้วยความอึดอัดใจ

“อื้ม ฉันเข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพิ่งรู้ตอนนี้ว่ามันไร้ความหมายที่จะบอกขนาดนี้” จอห์นสันตอบเสียงเบาๆแต่ด้วยความเงียบของป่าจึงทำให้มาร์คัสได้ยินชัดเจน

                “ฉันรู้และเข้าใจนายอึดอัดแค่ไหน แต่เชื่อเถอะ ยิ่งบอกไป มันจะยิ่งแย่กว่าเดิมอีก” แม้คำพูดของมาร์คัสจะไม่ใช่คำพูดเพื่อปลอบโยนแต่ จอห์นสันกลับรู้สึกสบายใจยิ่งขึ้น แต่เขาเองก็อดที่จะรู้สึกสงสารมาร์คัสไม่ได้ เพราะตัวของเขาเองที่เพิ่จะงรู้ความจริงได้ไม่นานกลับรู้สึกอึดอัดขนาดนี้ แต่มาร์คัสไม่เพียงแค่ต้องเก็บความลับมานานถึง 7 ปี ทั้งยังต้องลงมือฆ่าพ่อของตัวเอง มันจะยิ่งแย่ขนาดไหน จอห์นสันแทบไม่อยากนึกเลย !

                รุ่งเช้าวันต่อมา หลังจากที่ทหารในสนามเพลาะต้องพบเจอกับเรื่องแปลกๆ และต้องมาเดินเฝ้าเวร จนถกระทั่งฟ้าสางทหารส่วนใหญ่ในสนามเพลาะ ต่างพากันเผลอก้มตัวลงนอนอย่างหมดสภาพด้วยความเหนื่อยอ่อน

                “ทั้งหมดลุก เดี๋ยวนี้ เร็ว” เสียงตะโกนของจ่ารอสดังลั่น จนทหารที่เผลอหลับอยู่ต่างรีบพากันลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ

                “ผลัดเปลี่ยนเวรกันทุกสองชั่วโมง อย่าให้มีการอู้หรือใครแอบหนีออกไปด้านนอกสนามเพลาะอีก หากฉันกลับมาแล้วมีการรายงานเกิดขึ้น พวกแกคงรู้นะจะเกิดอะไรขึ้น?” จ่ารอสตะโกนสั่งเสียงดังชัดเจน ก่อนจะหันไปพูดสั่งกับทิมที่ยืนอยู่ ด้านหลัง

ทิมพยักหน้ารับอย่างจริงจังตามแบบบุคลิกของเขา เมื่อจ่ารอสออกคพสั่งทั้งหมดกับทหารคนสนิทเรียบร้อยแล้ว

                “เอ็ด ออกมา” จ่ารอสหันมาตะโกนเรียกให้ เอ็ด ออกมา ทำให้เจ้าตัวที่ยืนตรงอยู่ถึงกับทำตาโตด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งตรงเข้าไปหาจ่านอสที่ยืนรอเขาอยู่

“แกมากับฉัน ทิม ฝากด้วยนะ” จ่ารอสออกคำสั่งเสียงเรียบๆ

                ทิมทำเท้าชิดแสดงการรับคำสั่ง ส่วนเอ็ดกลับยืน อ้าปาก ตาค้าง ด้วยความตกใจ

                “ผมด้วยเหรอครับ ทำไม?” เอ็ดเผลอหลุดปากถามในสิ่งที่ไม่สมควรถาม จนทหารที่ยืนอยู่ต่างพากันตาค้างไปตามๆกัน เพราะสำหรับพลทหารไม่มีสิทธิเถียงเวลาได้รับคำสั่ง และเมื่อเอ็ดรู้สึกตัวอีกครั้ง หมัดของจ่ารอสก็ลอยมาปะทะเข้าที่ใบหน้าของเอ็ดอย่างจัง จนเจ้าตัวปากแตก ล้มลงพื้นอย่างแรง

                “แกมีสิทธิมาเถียงฉัน ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” จ่ารอส ตวาดซ้ำด้วยความโมโห

                เอ็ดรีบลุกขึ้นยืนตรงแล้วกล่าวขอโทษทันที จ่ารอสทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินขึ้นจากสนามเพลาะ พร้อมกับที่เดลเอามือตบไหล่ของเอ็ดเพื่อปลอบใจ ก่อนที่ทหารทั้งสองนายจะเดินขึ้นจากสนามเพลาะ ตามจ่ารอสไปพร้อมๆกัน และไม่นานนัก ทหารทั้งสามก็เดินหายเข้าไปในป่า …

…………………..

“เอาล่ะ ทั้งหมดฟัง ระหว่างที่จ่าไม่อยู่ ฉันจะทำหน้าที่สั่งการแทน เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดจะทำอะไรนอกเหนือกฎเด็ดขาด ทุกคนเข้าใจมั้ย?” เสียงตะโกนสั่งการของทิมดังลั่นไปทั่วทั้งสนามเพลาะ

“เข้าใจครับ” ทหารทุกนายที่ยืนอยู่ตะโกนตอบเหมือนกับที่พวกเขาเคยตอบผู้บัญชาการที่แท้จริง ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยแม้แต่น้อยเพราะ ทิม เองก็เป็นพลทหารเหมือนคนอื่นๆ แต่ไม่ว่ายังไงแล้ว การกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้

                “ขออนุญาตครับ” จอห์นสันฝืนใจพูดอย่างเคารพออกไป

                ทิมหน้านิ่งหันมามองราวกับทหารชั้นผู้ใหญ่มองทหารชั้นผู้น้อย

                “กร่างจริงเว้ย ไอ้บ้านี่” จอห์นสันพูดขึ้นในใจ เมื่อเขาเห็นท่าทีของทิม ทั้งที่ยศของพวกเขาก็ได้แตกต่างจากกัน

                “ว่ามา” ทิมพูดเสียงดังเหมือนที่จ่ารอสมักจะพูดเป็นประจำ

                “ทำไม พวกจ่าต้องออกไปข้างนอกด้วยครับ?” จอห์นสันฝืนใจถามอย่างน้อบน้อม

                ทิมยิ้มน้อยๆก่อนจะหันมามองเขาด้วยหางตา พร้อมกับทำท่าที กร่างเกินตัว

                “เพราะ ไอ้แดนนี่ อดีตคู่หูแกไง มันมาฆ่าคนในค่ายของพวกเราแบบนี้ ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย และที่สำคัญถ้าหากมันตกเป็นเชลย มีโอกาสสูงมากที่มันจะถูกทรมานและกลายเป็นภัยกับพวกเราด้วยการเข้าร่วมกับพวกข้าศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพของมันเมื่อวาน นายเองก็เห็น คงเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร” ทิมพูดด้วยท่าทีชวนโมโห ทำให้จอห์นสันแทบจะยั้งอารมณ์ไม่อยู่ จนมาร์คัสที่ยืนข้างๆต้องรีบแอบใช้ข้อศอกสะกิดเพื่อเตือนสติของเขา จอห์นสันจึงสามารถยับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้

                “ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร แต่ขอบคุณนะจ่า การได้เป็นใหญ่นี่มันช่างดีแบบนี้นี่เอง” ทิมแอบคิดในใจพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก!

…………………………

เวลา 4 ชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่ทหารทั้งสามนายเดินออกตามหาแดนนี่ พวกเขากลับไม่พบอะไรเลย นอกจากรอยเท้าบนดินที่มีรูปร่างเหมือนรอยเท้ามนุษย์ แต่กลับมีเล็บที่แหลมคมเหมือนเล็บเท้าของอสูรกายไม่มีผิดเพี้ยน  ทั้งยังมีรอยเล็บ รอยคราบเลือด บนต้นไม้ต้นนั้นแล้วมาต้นนี้ ราวกับเจ้าตัวจะรู้ และจงใจทิ้งร่องรอยเพื่อหลอกล่อคนที่กำลังออกตามล่ามัน

“ไอ้รอยบนต้นไม้พวกนี้ ดูๆแล้วทำไม มันหมือนมีคนสองคนช่วยกันทำขึ้นมาเลย” เดลบ่นขึ้นเบาๆ ขณะที่เขากับเอ้ดกำลังยืนเฝ้าระหวังด้านหลังให้จ่ารอสที่กำลัง เดินก้มหน้ามองพื้นดินเพื่อแกะรอย

“ให้ตายสิวะ” เอ็ด บ่นขึ้นเบาๆ แล้วหันไปทางจ่ารอสที่กำลังเดินก้มหน้ามองพื้นดินอยู่

                “เอ่อ จ่าครับ พวกเรา...” ยังไม่ทันที่เอ็ดจะได้พูดจบ จ่ารอสที่ยืนมองพื้นดินเพื่อแกะรอยอยู่ทางด้านหน้า รีบแบมือชูขึ้นเป็นสัญญาณห้าม แล้วค่อยๆหันหน้ามาทางทหารทั้งสอง แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก จากนั้นจ่ารอสจึงก้มกลับลงไปมองพื้นดินอีกครั้ง

เอ็ดและเดลหันหน้ามามองหน้ากันอย่างสงสัย แล้วเดินตรงเข้าไปหาจ่ารอส และเมื่อทหารทั้งสองเดนไปถึงบริเวณที่จ่ารอสยินอยู่ พวกเขายืนจ้องมองใบหน้าของจ่ารอสที่กำลังยืนจ้องมองพื้นดินด้วยใบหน้านิ่งๆไร้อารมณ์อยู่ชั่วครู่ จากนั้นทหารทั้งสองนายจึงหันมามองหน้ากันอีกครั้ง แล้วทหารทั้งสองนายก็ก้มหน้าลงมองพื้นดิน

                เมื่อทหารทั้งสามนายก้มลงมองพื้นดิน พวกเขาจึงได้เห็นรอยเท้ารอยใหม่ ที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับรอยเท้าที่พวกเขาได้พบมาก่อนหน้านี้ แต่รอยเท้ารอยนี้กลับดูเหมือน เจ้าของรอยเท้ากำลังมุ่งหน้าไปที่ใดที่หนึ่งด้านหน้า จ่ารอสหันมาหาลูกน้องทั้งสองนายแล้วพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่า ให้เดินตามรอยใหม่นี้ไป เอ็ดกับเดลพยักหน้าตอบ จากนั้นทหารทั้งสามนายจึงออกเดินตามรอยเท้าเหล้านั้นต่อไปอย่างระมัดระวังโดยมีจ่ารอสเดินนำอยู่ทางด้านหน้า    

จ่ารอสเดินตามรอยเท้าเหล่านั้น ผ่านพุ่มไม้ที่มีกิ่งไม้ขึ้นรกทึบโดยใช้มีดเดินป่าฟันกิ่งไม้ที่ขวางทางออก แต่การเดินผ่านพุ่มไม้นี้ก็ยังเป็นไปอย่างยากลำบาก  จนเอ็ดบ่นออกมาคล้ายคนที่ใกล้จะสติแตก

“จ่า ทำไมเราต้องตามไอ้รอยนี่มาด้วย ทำไมเราต้องตามไอ้แดนนี่มาด้วย มันกลายเป็น...”

“เอ็ด เงียบก่อนได้มั้ย คุมสติหน่อย” เดลที่เดินอยู่ข้างๆรีบเอามือตบหลังเพื่อน แล้วพูดต่อว่าก่อนที่เอ็ดจะเสียสติขึ้นมาจริงๆ

เมื่อพวกเขาสามารถเดินฝ่าพุ่มไม้อันรกทึบนั้นออกมาได้แล้ว จ่ารอสรีบทำฝ่ามือขนานกับพื้น แล้วโบกมือขึ้นลง เพื่อเป็นสัญญาณให้ลูกน้องทั้งสองนายที่กำลังเดินตามหลังเขามาก้มหมอบลงในทันทีที่จ่ารอสสามารถสังเกตเห็นได้ว่า ทางด้านหลังของเหล่าต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา มีลักษณะเป็นที่โล่งคนจำนวนมากสามารถใช้สำหรับตั้งเป็นที่พักได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากว่า ที่พักแห่งนี้จะเป็นที่พักของทหารเยอรมัน แต่สิ่งที่น่าแปลกก็เกิดขึ้น เมื่อเขาเริ่มได้กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นเน่าลอยมาตามสายลม จากบริเวณที่โล่งแห่งนั้น !

จ่ารอสหันมาทางทหารทั้งสองนาย พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากเพื่อเป็นสัญญาณว่า อย่าส่งเสียง แล้วโบกมือไปทางด้านหน้าเพื่อเป็นสัญญาณให้เคลื่อนที่ จากนั้นจ่ารอสก็ค่อยๆคลานช้าๆตรงไปยังพุ่มไม้เบื้องหน้าอย่างเงียบที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ใครหรืออะไรก็ตามที่อยู่ในที่พักแห่งนั้นเกิดความสงสัย 

เมื่อทหารทั้งสามนายคลานมาจนถึงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่หน้าที่พักที่มีกิ่งไม้จำนวนมากบดบังอยู่ กลิ่นเลือดและกลิ่นเหม็นเน่าของศพ ก็เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งยังมีเสียงปีกของแมลงวันจำนวนมากดังไปทั่วบริเวณที่พัก    

จ่ารอสหันไปทางด้านซ้ายที่ที่เดลและเอ็ดนั่งพิงต้นไม้อยู่ แล้วพยักหน้าให้ทหารทั้งสองนายอย่างเข้าใจกัน จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆใช้มือแหวกกิ่งไม้ที่ขึ้นบดบังสายตาพวกเขาออก เพื่อดูให้แน่ชัดว่ามีอะไรอยู่ทางด้านหลังต้นไม้ 

เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพที่อยู่เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ พวกเขาทั้งสามถึงกับต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ...

บริเวณที่โล่งกว้างหลังต้นไม้ใหญ่ที่ทหารทั้งสามนายหลบอยู่ เป็นบริเวณที่ทหารใช้สำหรับตั้งค่ายที่มั่น อย่างที่พกวเขาคาดคิดเอาไว้ แต่ตอนนี้ที่มั่นแห่งนี้กลับมีแต่ซากศพที่กำลังขึ้นอืดของทหารเยอรมันนอนเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วบริเวณนั้น โดยแต่ละศพจะมีปืนไรเฟิล ปืนกลมือ และปลอกกระสุนปืนตกอยู่รอบๆ ราวกับว่า ทหารเยอรมันกลุ่มนี้ได้ยิงปืนเข้าใส่ตัวอะไร บางอย่างด้วยความตกใจสุดขีด โดยการยิงสาดออกไปทั่วทุกทิศ ซึ่งทั้งบริเวณทีมั่นแห่งนี้มีซากศพทหารราวๆประมาณสามสิบนายเศษๆ แต่ทุกๆศพกลับมีรอยแผลไม่แตกต่างจากกันเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือ บางศพจะมีรอยเขี้ยวสัตว์กัดอย่างกระหายเลือด บางศพมีรอยถูกข่วนที่ท้องจนไส้ทะลักมากอง บางศพก็ยิ่งแย่ไปเสียกว่านั้น เพราะศพเหล่านั้นมีทั้งรอยกัด รอยแทะกิน ทั้งเครื่องในยังถูกควักออกมากองด้านนอก จนสภาพศพแทบจะดูไม่ได้ !

จ่ารอสยืนมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ส่วนเดล เมื่อได้สติเขารีบยกแขนขึ้นปิดจมูกและเบือนหน้าหนีออกมา ส่วนเอ็ดถึงขั้นรีบวิ่งไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งและสำรอกออกมายกใหญ่ จนเดลต้องเข้าไปช่วยลูบหลัง   จ่ารอสยืนมองดูภาพอันน่าสยดสยองเบื้องหน้าอย่างอนาถใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มออกคำสั่งที่ ทหารทั้งสองนายไม่ต้องการจะได้ยิน

“รีบๆจัดการทำธุระให้เสร็จ เดี๋ยวเราต้องเขาไปสำรวจข้างใน”

เมื่อได้ยินคำสั่ง เอ็ดถึงกับตาโตอย่างตกใจ และหยุดสำรอกออกมาอย่างทันทีทันใด

“จ่า จ่า จ่า ผะ...ผม..มะ...ไม่..เด็ดดด...ขาดดดด” เอ็ดพูดติดๆขัดๆราวกับคนเสียสติ จนจ่ารอสหันมามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ จนเดลต้องรีบเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของเอ็ด แล้วจ้องมองใบหน้าของเพื่อน ด้วยสายตาดุดันแล้วพูดเสียงดังเพื่อเรียกสติของเพื่อนกลับมา      

“เอ็ด ตั้งสติหน่อยสิวะ ตั้งสติน่ะ หากแกอยากรอด เลิกบ้าได้แล้ว” เมื่อเดลพูดจบ เอ็ดที่มีอาการคล้ายคนที่กำลังจะเสียสติถึงกับหยุดนิ่งไปในทันที แล้วพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ

“ดูท่าพวกแกจะพร้อมแล้วสินะ ไปตามหาไอ้แดนนี่กัน มันอาจจะอยู่ในนั้น” จ่ารอสพูดขึ้น พร้อมกับถือปืนอย่างเตรียมพร้อมแล้วเดินตรงเข้าไปในที่มั่นแห่งนั้น โดยมีเดลและเอ็ดเดินตามหลังมาไม่ห่าง !

จ่ารอส เดินออกสำรวจเต็นท์ในที่มั่นของทหารเยอรมันทีละหลังๆ โดยไม่ได้ให้ความสนใจแก่ศพที่นอนอยู่รอบๆข้าง ต่างจากเอ็ดและเดลที่มีอาการแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง ทหารทั้งสองเดินก้มหน้ามองดูพื้นดินเพื่อป้องกันไม่ใก้พวกเขาเผลอเหียบเข้ากับซากศพหรือเครื่องในของศะที่ไหลออกมากองด้านนอก

เวลาหลายนาทีผ่านไป จ่ารอสเริ่มถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย แล้วหันไปหาลูกน้องทั้งสองนายที่ยืนดูทางด้านหลังแล้วออกคำสั่งที่ทั้งสองไม่ต้องการจะได้ยินอีกครั้ง

“พวกนายสองคน แยกไปตรวจเต็นท์อื่นๆซะ จะได้ไม่เสียเวลา”

ทหารทั้งสองนาย ตะลึงกับคำสั่งเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถจะขัดคำสั่งได้นอกจากรับคำสั่งและปฏิบัติตามแต่โดยดี

“เจอตัวมันเมื่อไหริ่งได้เลย” จ่ารอสตะโกนตามหลังลูกน้องทั้งสองนายไป แล้วหันกลับมาสำรวจต็นท์อื่นๆต่อไป

                จ่ารอสเดินสำรวจเต็นท์ จนกระทั่งมาถึงเต็นท์เขาก็ยังไม่สามารถหาตัวแดนนีได้พบ เขาเดินออกมาจากเต็นท์พยาบาลของพวกทหารเยอรมันที่มีศพนอนเกลื่อนกลาด และมีรอยคราบเลือดเปรอะอยู่ทั่วทั้งเต็นท์

                “จ่าครับ” เสียงของเดลดังขึ้น ทันทีที่จ่ารอสเดินออกมาจากเต็นท์หลังนั้น

                “เจออะไรมั้ย?” จ่ารอสถามขึ้นทันทีที่ลูกน้องทั้งสองนายวิ่งมาถึง

                “ไม่เจอมันเลยครับ แต่ดูเหมือนที่นี่จะเป็นที่มั่นสุดท้ายของพวกข้าศึกแล้วครับ ดูท่าพวกมันจะถูกทิ้งเหมือนกันครับ     ไม่มีTiger* หรือ panzer*จอดอยู่เลยสักคันครับ ในเต็นท์คลังแสงของพวกมันเองก็ไม่มีกระสุนหรืออาวุธอะไรอยู่เลยครับ” เมื่อเดลรายงายเสร็จ จ่ารอสพยักหน้าตอบแล้วพูดขึ้น

“งั้นเหรอ ก็ดีแล้วที่มันไม่มี เพราะเราเองก็ไม่มี Sherman* มาต่อกรกับพวกมันหรอก   พวกเราเองก็ถูกทิ้งเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่ใช่เหตุผลที่เรามา เราต้องตามหาแดนนี่ให้เจอ” สิ่งที่จ่ารอสพูดออกมาทำให้ลูกน้องทั้งสองนายแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน

“ทำไมกันครับ? ทุกอย่างจบแล้ว พวกเราน่าจะได้ออกไปจากที่นี่แล้วนี่ครับ” เดลถามเสียงดังจนคล้ายการตวาด แต่จ่ารอสกลับทำทีนิ่งเฉยแล้วตอบกลับไปอย่างเรียบๆ

 

***Panzer เป็นรถถังขนาดกลางที่ผลิตที่เยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 รถถังชนิดนี้เป็นรถถังที่เยอรมันใช้ยึดโปแลนด์ได้ใน 3 วันซึ่งเมื่อช่วงหลังของสงครามรถถังชนิดนี้จึงถูกพัฒนาขึ้นเป็น King Tigerซึ่งเหนือชั้นกว่ารถถังTiger

***Tiger เป็นรถถังหนักของเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นรถถังที่มีความทนทานและอานุภาพในการยิงสูงมาก เมื่อครั้งแรกที่มันเผยโฉมในปี 1942 จนช่วงเดือนแรกๆที่มันประจำการณ์ไม่มีอาวุธใดระคายเกราะของมันได้เลยและมันยังสามารถทำลายรถถังฝ่ายพันธมิตรได้ด้วยการยิงเพียงนัดเดียวแต่รถถังชนิดนี้ผลิตได้ยากจึงผลิตออกมาน้อย

 ***Sherman เป็นชื่อรถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสร้างครั้งแรกปี 1942 ซึ่งถือเป็นรถถังที่มีความสามารถรอบตัว สามารถฉีดไฟ กวาดทุ่นระเบิด ฯลฯ และมีความไวสูง แต่มีข้อเสียคือการที่มันใช้น้ำมันเบนซินทำให้มันลุกเป็นไฟเวลาถูกยิงและมีข้อด้อยที่เกราะป้องกันกับอำนาจการยิง

               

                “เพราะ เมื่อวานนายก็เห็นแล้วนี่ว่า แดนนี่มันเป็นยังไง มันเข้ามาฆ่าคนของฉันถึงในค่าย นายคิดจะปล่อยมันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”

จ่ารอสพูดจบแล้วเดินผ่านทหารทั้งสองนาย ตรงไปยังทางที่พวกเขาเข้ามาในที่มั่นนรกเพื่อออกตามหาแดนนี่ต่อไป โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะเป็นผู้ล่า แต่อีกไม่นานจะถึงเวลาที่พวกมันจะเป็นผู้ล่า !

.......................................

ท่ามกลางความมืดยามราตรีใต้แสงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวง ทหารทั้งสามนายตัดสินใจหยุดพัก และจะเริ่มออกตามหาแดนนี่อีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อพวกเขาสามารถหาบริเวณที่เหมาะแก่การหยุดแล้ว พวกเขาจึงจัดการก่อกองไฟและจัดเวรยาม ซึ่งมีเดลเป็นยามกะแรก ส่วนจ่ารอสกับเอ็ดต่างพากันล้มตัวลงนอนหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้า

เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ ขณะที่เดลกำลังนั่งใช้กิ่งไม้สุมไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟมอดดับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่    ทันใดนั้น กิ่งไม้บนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆกับบริเวณที่เขานั่งอยู่ก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างดื้อๆราวกับมีใครมาเขย่ากิ่งไม้นั้น       เขาไม่รอช้ารีบหยิบปืนขึ้นมาเพื่อเตรียมป้องกันตัว จากนั้นเขาจึงค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ  แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลุกขึ้นมายืนอย่างเต็มตัว ใบไม้จำนวนมากก็ได้หล่นลงมายังจุดที่เขายืนอยู่ รางกับมีตัวอะไรบางอย่างกำลังขยับอยู่ด้านบนของต้นไม้ต้นนั้น

 เมื่อเขาเงยหน้ามองขึ้นไป ภาพที่เขาเห็นคือ แดนนี่ในสภาพที่มีขนสีดำยาวปกคลุมทั่วทั้งร่างกำลังทิ้งตัวลงมาและใช้กรงเล็บที่แหลมคม ข่วนเข้าที่คอของเขาอย่างจัง จนคอของเขาเป็นแผลลึกสามแผลตั้งแต่ต้นคอลึกไปจนถึงกลางลำคอ เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจนย้อมเสื้อของเดลเป็นสีแดง 

‘ปัง ปัง ปัง’ เสียงปืนไรเฟิลอัตโนมัติในมือของเดลดังขึ้นติดกันสามนัด เมื่อมือของเขาเริ่มกิดอาการเกร็ง ทำให้จ่ารอสและเอ็ดสะดุ้งตื่นขึ้นมาเห็นภาพเบื้องหน้า พร้อมกับที่เดลได้ล้มลงไปนอนชักกระตุกสองสามครั้งและแน่นิ่ง  โดยมีแดนนี่ในสภาพอมนุษย์ที่มีขนสีดำยาวปกคลุมทั่วทั้งร่าง ยืนจ้องมองพวงเขา แล้วแสยะเขี้ยวราวกับรอยยิ้มของอสูรกายที่กำลังสะใจ

“ไอ้สารเลวววววววววววววว” จ่ารอสตะโกนสุดเสียงพร้อมกับประทับปืนกลมือขึ้นกรำน่ำยิงออกไป ต่างจากเอ็ด ที่ต้องยิงอย่างระมัดระวังเพราะปืนไรเฟิลอัตโนมัติของเขาสามารถบรรจุกระสุนได้เพียงครั้งละ 8 นัดเท่านั้น

เมื่อทหารทั้งสองเริ่มเปิดฉากยิงออกไป แดนนี่รีบกระโดดหลบขึ้นต้นไม้เพื่อหลบกระสุนที่ยิงออกมาได้อย่างรวดเร็ว ทหารทั้งสองนายรีบยกปากกระบอกปืนตามร่างของแดนนี่ไปอย่างไม่ยอมเลิกลา โดยที่พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า มีอมนุษย์ตาบอดขนสีน้ำตาลที่ใช้กรงเล็บเกาะต้นไม้กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่

ขณะที่เสียงปืนกลมือของจ่ารอส และปืนไรเฟิลอัตโนมัติในมือของเอ็ด ดังสนั่นไปทั่วทั้งผืนป่า ทันใดนั้นเอง

 “ ตุ๊บ สวบ” เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างตกลงมาจากที่สูง และตามมาด้วยเสียงของมีคมบางอย่างแทงเข้าที่เนื้อของใครบางคนดังมาจากทางของเอ็ดพร้อมกับที่ปืนของจ่ารอสหยุดเงียบเสียงลง  เอ็ดตัดสินใจหันไปมองอย่างรวดเร็วและภาพที่เขาเห็นคือ  ชายตาบอดข้างซ้ายที่มีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมทั่วทั้งร่าง กำลังมีดทหารที่ถืออยู่แทงคอจ่ารอสตั้งแต่ทางด้านหลังคอทะลุออกมาทางด้านหน้า  ชั่ววินาทีนั้น อมมุษย์ตนนั้นรีบดึงมีดในมือออกมาจากคอของจ่ารอส เลือดสดๆไหลทะลักและพุ่งออกมาเป็นสายจากแผลทั้งสองด้าน พร้อมกับที่จ่ารอสยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมแผลที่คอเพื่อป้องกันไม่ให้เสียือดมาก และล้มลงไปนอนชักกระตุกอยู่บนพื้น จากนั้นอมนุษย์ตนนั้นจึงหันหน้ามามองที่เอ็ดแล้วแสยะเขี้ยวยิ้มให้ราวกับนักล่าที่ต้องการหยอกล้อกับเหยื่อรายต่อไป ! 

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” เอ็ดส่งเสียงร้องดังสนั่นราวกับคนเสียสติเต็มขั้น เขาหันปากกระบอกปืนไปทางอมนุษย์ตนนั้น แล้วเหนี่ยวไกปืนทันที

“ปัง…” เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น แต่อมนุษย์ตนนั้นกลับสามารถกระโจนขึ้นต้นไม้ได้ทันเวลา เอ็ดไม่รอช้า เขารีบชี้ปากกระบอกปืนตามร่างของอมนุษย์ตนนั้นขึ้นไป แล้วรีบลั่นไก

“ปัง ปัง ปัง พิ้ง” เสียงปืนดังขึ้นสามนัดติดๆกัน แล้วตามมาด้วยเสียงดีดออกของตลับกระสุนที่กระสุนได้หมดลงแล้ว อมนุษย์ตนนั้นหยุดไต่ต้นไม้แล้วหันมามองเอ็ด พร้อมกับยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่น่าน่าสยดสยอง

เอ็ดเริ่มเสียสติเอย่างต็มขั้น เขารีบโยนปืนไรเฟิลในมือทิ้งอย่างไม่สนใจใยดีเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการวิ่ง        แล้วทันใดนั้น เอ็ดรีบวิ่งโกยแหนบออกมาจากบริเวณ พร้อมกับส่งเสียงร้องดังลั่นด้วยความกลัวอย่างสุดขีด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะสามารถวิ่งไปไกลนัก เขาก็ถูกร่างของตัวอะไรบางอย่างกระโดดเข้าตะครุบอย่างแรง จนเขาลอยละลิ่ว แ

เมื่อร่างทั้งสองตกลงสู่พื้นอย่างแรง เอ็ดก็ได้ถูกแดนนี่ในร่างอมนุษย์ขึ้นนั่งคร่อมและใช้มือจับล็อกแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น  ทันใดนั้นแดนนี่ก็ได้กัดเข้าที่ซอกคอของเอ็ดอย่างแรง เอ็ดร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เขาพยายามดิ้นอย่างสุดชีวิตแต่ด้วยการที่ร่างของเขาถูกคร่อมและล็อกแขนเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถหลุดออกมาได้ ไม่กี่วินาทีต่อมาแดนนี่ก็ได้ปล่อยคอของเอ็ดและเงยหน้าคำรามอย่างกระหายเลือด

เอ็ดรีบรวบรวมสติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แล้วรีบยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาแล้วถีบเข้าที่ท้องของแดนนี่อย่างแรง จนแดนนี่กระเด็นออกจากร่างของเขา และด้วยการที่แผลของเขาไม่ลึกมาก  ทำให้เอ็ดยังไม่เสียเลือดมากจนใกล้หมดสติ เ ขาจึงพอมีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่ค่อนข้างเยอะ  เขารีบลุกขึ้นยืนแล้ว รีบออกวิ่งออกมาจากบริเวณ พร้อมกับที่แดนนี่ลุกขึ้นยืน แล้วจ้องมองเหยื่ออย่างกระหายเลือด แล้วออกวิ่งไล่ล่าเหยื่อที่ใกล้จะตายตรงหน้า แต่ทันใดนั้น

“แกร๊ก.... แคร๊ก” เสียงขดังลำเลื่อนปืนดังขึ้นจากด้านหลังของสองอมนุษย์ พวกมันคลาดสายตาจากเอ็ดแล้วหันมามองยังที่มาของเสียง และภาพที่พวกมันได้เห็นนั่นก็คือ จ่ารอสกำลังฝืนแรงที่มีอยู่ ใช้มือข้างหนึ่งยกปืนกลขึ้นแล้วกระหน่ำยิงมาที่พวกมันทั้งสอง แต่ผลที่ได้กลับไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ พวกมันสามารกระโดดหลบกระสุน ขึ้นต้นไม้ได้อย่างรวดเร็วและรีบกระโจนไปยังต้นไม้ ต้นอื่นๆต่อไป และไม่กี่วินาทีต่อมา

“ตุ้บ” เสียงอะไรบางอย่างหนักๆตกลงมาจากต้นไม้เหนือศีรษะของจ่ารอสที่ใกล้จะสิ้นใจ

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ภาพที่เขาได้เห็นคือ เท้าของบางคนที่ปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาล และทันใดนั้นอมนุษย์ตนนั้นก็ก้มลง ใช้มือคว้าเข้าที่คอเสื้อของจ่ารอสยกเขาขึ้นมาชู จนเท้าลอยจากพื้นดิน อมนุษย์ตนนั้นจ้องมองจ่ารอสอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วใช่กรงเล็บอันแหลมคมของมันท้องเข้าที่ท้องของจ่ารอสอย่างแรง

 “สวบ” สิ้นเสียงนั้น จ่ารอสกระอักเลือดออกมาเป็นสาย พร้อมกับที่เขาใกล้จะสิ้นสติลงทุกชั่วขณะ เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วทำหน้าบึ้งใส่อมนุษย์ตรงหน้า

“ไอ้พวกสารเลว” จ่ารอสพูดอย่างอู้ๆอี้ๆและ ถ่มเลือดที่เต็มปากใส่หน้าของมนุษย์ตนนั้น

อมนุษย์ตนนั้นแยกเขี้ยวอย่างโกรธแค้น มันดึงมือออกจากแผลที่ท้องของจ่ารอสและใช้กรงเล็บของมันแทงเข้าที่คางของจ่ารอส จนทะลุออกทางศีรษะ พร้อมกับที่จ่ารอสเกิดอาการกระตุกสองครั้ง แล้วแน่นิ่งไปคามือของอมนุษย์ตนนั้น จากนั้นมันจึงกระชากกรงเล็บออกมา แล้วปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของจ่ารอสล้มลงสู่พื้น วกมันทั้งสองมองหน้ากัน แล้วเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความสะใจ โดยไม่ได้ให้ความสนใจแก่เหยื่อที่รอดชีวิตไปได้ของพวกมันเลย 

หลังจากที่เอ็ดฝืนแรงวิ่งออกมาจากบริเวณนั้นได้สักพักใหญ่ๆ เขาวิ่งตรงไปทารงด้านหน้าโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่า เขากำลังจะไปที่ยังทิศทางไหน และตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และไม่นานเขาก็เริ่มหมดเรี่ยวแรงจากการเสียเลือด ตาของเขาเริ่มพร่ามัว เขารีบหยุดวิ่ง พร้อมกับที่เขาเริ่มที่จะทรงตัวไม่ไหว และในที่สุดเขาก็ล้มลงสู่พื้นอย่างแรง หนังตาของเขาเริ่มปิดลง ภาพต่างๆเบื้องหน้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ

“นี่น่ะเหรอ ความตาย?” เอ็ดพูดขึ้นในใจ แล้วดวงตาของเขาก็ปิดสนิท ...

.................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา