ศพแยกส่วน ณ โรงละครผีสิง

7.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.12 น.

  11 chapter
  16 วิจารณ์
  17.86K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ 10 ศพแรก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

 

 

บทที่ 10 
ศพแรก
 
                ภานุชะงักฝีเท้าลงจากการจับจูงฝามือของเธอ อย่างแกรมเดินแกรมวิ่งอย่างเร็วๆ สุดท้ายก็ต้องหยุดลงพร้อมยืนสงบนิ่งอยู่กับที่ รอคอยรับฟังเสียงแปลกๆ ที่เพิ่งดังแทรกผ่านเข้ามาอีกครั้งอย่างตั้งใจ
            “อ้าย...!!!...กรี๊ด...!!...ใครก็ได้ช่วยด้วย มะ...มีคนถูกฆ่าตาย”  มันเป็นน้ำเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวอันปริศนา ซึ่งมีลักษณะของน้ำเสียงใกล้เคียงกันกับของใบเฟิร์น แต่ก็ไม่ใช่น้ำเสียงของใบเฟิร์น เพราะขณะนี้ใบเฟิร์นสติแตกและบาดเจ็บอาการสาหัสไม่มีทางที่จะลงมาจากห้องโถงด้านบนได้ นอกเสียจากเธอจะเหาะหรือหายตัวลงมาได้เท่านั้น คำถามก็คือแล้วหญิงสาวผู้เป็นปริศนาที่กำลังร้องกรี๊ดๆ อยู่นั้นคือใครกันแน่ใช่ผีหรือวิญญาณหรือไม่
            “ภานุพวกเราควรไปดูเธอหน่อยไหมคะ” ภานุยังคงบีบกระชับจับจูงฝามือของเธอเอาไว้อย่างไม่ยอมที่จะปล่อยอยู่เช่นเดิม พร้อมกันกับส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธที่จะเข้าไปช่วยเหลือใครหรืออะไรเด็ดขาด
            “คุณคิดว่าสถานที่แห่งนี้มันเป็นอะไรกัน เป็นสวนสนุกหรือแดนเนรมิตหรือยังไง ผมจะบอกคุณให้เข้าใจนะว่ามันคืออะไร มันคือแดนสนธยา อย่างไรกันล่ะ” ภานุตอบกลับคืนมาด้วยสีหน้าและแววตาอันเคร่งเครียดแข็งกร้าว มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรสักเท่าไรเลยหากภานุจะคิดเช่นนั้น เพราะเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ มันคือเวลา บ่ายสามโมงเย็นตรงหรือ 15.00 นาฬิกา แล้วเวลาก็ก้าวกระโดดข้ามไปที่ สามทุ่มตรงหรือ 21.00 นาฬิกา แล้วมันก็ยังวนหมุนย้อนทวนกลับคืนมาที่เวลาสามโมงเย็นกว่าๆ อีกครั้งหรือประมาณเวลา 15.30 นาฬิกา เป็นใครก็ตามหากต้องมาพบปะเจอะเจอประสบการณ์อย่างที่เธอและภานุ กำลังพบปะเจอะเจอกันอยู่ก็อาจที่จะสติแตกได้ทั้งนั้น ดังนั้นการที่จะออกวิ่งตรงไปช่วยเหลือสิ่งใด แม้แต่มนุษย์มีเลือดเนื้ออยู่จริงๆ ก็คงจะต้องตรึกตรองให้ดีเสียก่อน
            “ถ้าหากเราไม่คิดที่จะไปดูเธอ คนนั้น ที่กำลังร้องกรี๊ดๆ อยู่แล้วเราจะไปที่ไหนกันต่อดีคะ” เธอทำสีหน้าแลแววตาอันใสซื่อขณะถามคำถามกับภานุ
            “คุณยังจะมาทำหน้าแลดวงตาพิลึกบ้องแบ๊ว ล้อเล่นได้อยู่อีก ผมล่ะ ซูฮกให้กับความใจเย็นและความไม่รู้จักเกรงกลัวอะไรของคุณเลยจริงๆ มีอย่างที่ไหนตะโกนถามอะไรก็ได้ตั้งมากมายก่ายกอง แต่ดันไปตะโกนถามเอาชื่อของเขา” เขาในที่นี่ของภานุก็คงอาจที่จะหมายถึงผีหรือวิญญาณซึ่งก็คือผู้หวังดี
            “แล้วคุณจะให้ฉันตะโกนถามอะไรล่ะ ก็ฉันอยากที่จะรู้จักชื่อของเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาจะหวังดีมากๆ จนพาพวกเราย้อนเวลากลับคืนมายังดินแดนสนธยาอย่างนี้” ภานุเริ่มแย้มยิ้มอย่างเริ่มที่จะปลงตกในโชคชะตาอันกำลังถูกเวรกรรมกลั่นแกล้ง
            “จริงของคุณ เขาคงหวังดีจนเกินไป แต่กลับไม่คิดไตร่ตรองให้มันถี่ถ้วนดีเสียก่อนที่จะส่งพวกเรากลับคืนมา จนต้องมาพบปะเจอะเจอกับเรื่องราวอันแปลกๆ อีกครั้ง” ภานุคงอาจจะหมายถึงหญิงสาวที่กำลังร้องกรี๊ดๆ ขอความช่วยเหลืออยู่ในขณะนี้นั้นเอง
            “พวกเราจะไม่ลองแอบย่องๆ ไปดูเธอหน่อยหรือคะ”
            “ไม่...!! เราควรรีบวิ่งตรงออกไปด้านนอกประตูนั้นเลยจะดีกว่า แล้วไปเอากระเป๋ารวมยาของคุณ แล้วรีบกลับขึ้นไปช่วยเหลือคนข้างบนนั้น” เธอคิดว่าภานุน่าจะหลงลืมสมาชิกทั้งห้าคนไปกันจนหมดสิ้นแล้วเสียอีก แต่สุดท้ายก็ยังคงจดจำได้อยู่เช่นเดิม
            “แต่ฉันกลับคิดตรงข้ามกันกับคุณ ฉันว่าเราควรที่จะหันหลังกลับคืนไป แล้วพาพวกเขาลงมาที่นี่พร้อมกันทั้งหมดเลยจะดีกว่านะคะ” ภานุทำท่าทางครุ่นคิดไตร่ตรองแล้วบีบกระชับฝามือของเธอเอาไว้จนแน่นเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม อย่างกำลังตัดสินใจว่าจะก้าวเดินตรงต่อไปข้างหน้าออกประตูโรงละครไปเลยหรือถอยหลังกลับคืนไปดียังห้องโถงด้านบนดี หรือว่าจะมุ่งตรงไปสำรวจยังน้ำเสียงกรีดร้อง ขอช่วยเหลือของหญิงสาวผู้เป็นปริศนาที่กำลังร้องกรี๊ดๆ อยู่นั้นดี
            “บ้าเอ่ย...!!” ภานุเหลียวซ้ายแลขวาแล้วเริ่มสบถคำหยาบคายออกมาอย่างพยายามจะตัดสินใจให้มันเด็ดขาด สุดท้ายแล้วภานุก็กลับหลังหันก้าวเดินขึ้นบันไดกลับคืนไปยังห้องโถงด้านบนใหม่อีกครั้ง สิบกว่านาทีผ่านไปด้านหน้าประตูทางเข้าห้องโถงด้านบน ภานุกำลังยืนสงบนิ่งพร้อมกันกับยื่นฝามือเอื้อมไปยังลูกบิดประตู เพื่อที่จะได้ก้าวเข้าไปสู่ภายในห้องโถงอีกครั้ง
            “คุณกำลังคิดอะไรอยู่หรือภานุ...” ภานุส่งแววตาอันเป็นปริศนามาสบเข้ากันกับแววตาของเธอตรงๆ
            “คุณยังคิดว่าพวกเขาทั้งห้าคน จะยังคงเฝ้ารอคอยพวกเราอยู่กันภายในห้องข้างในนั้นจริงๆ หรือไง” ในดินแดนอันเป็นปริศนาหรือดินแดนสนธยาแห่งนี้ สิ่งใดก็ย่อมที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ภานุคงมีความคิดอย่างเช่นเดียวกันกับเธอ เธอไม่คิดที่จะตอบรับคำถามของภานุแต่เธอกับเป็นฝ่ายยื่นฝามือออกไปจับและบิดลูกบิดของประตูให้เปิดกว้างออกเสียเอง
            “แค่พวกเราเปิดประตูบานนี้ให้กว้างออก ก็น่าที่จะรับรู้คำตอบทุกอย่างกันได้แล้วจริงไหมคะ” เสียงบานประตูไม้สักเริ่มเปิดออกจนดังสนั่นหวั่นไหวทำให้เกิดอาการหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ เธอเริ่มจับจ้องมองความมืดมนอนธการจากภายในอยู่นิ่งๆ สักพัก ภายในห้องโถงไม่ได้มีแสงสว่างเจิดจ้าจากเชิงเทียนอย่างเช่นในครั้งแรก ที่เธอและทุกคนได้เคยผ่านกันเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง
            “นี่มันไม่ใช่ความจริงใช่ไหมภานุ พวกเขาห้าคนหายไปไหนกันหมด” ภานุยังคงจับจูงฝามือของเธอบีบกระชับเอาไว้จนแน่น พร้อมกันกับก้าวเดินตรงไปยังจุดต่างๆ ตามข้างฝาผนังห้องโถงที่มีเชิงเทียนและเทียนไขประดับประดากันเอาไว้ พร้อมกันกับเริ่มจุดให้มันสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเธอเองก็เริ่มที่จะทำอย่างเช่นเดียวกันกับภานุกำลังทำอยู่ เธอช่วยภานุจุดเทียนไขจนสว่างไสวเจิดจ้าไปจนทั่วทั้งห้องโถงใหม่อีกครั้งเช่นกัน
            “คุณคิดว่าพวกเขาทั้งห้าคน กำลังทำอะไรอยู่ในเวลานี้”
            “อาจที่จะอยู่กันคนล่ะเวลา และสถานที่เดียวกันกับพวกเรา” ภานุตอบคำถามออกมาจากริมฝีปากด้วยน้ำเสียงอันเรียบๆ แต่ใบหน้าและแววตากับยังคงเอาไว้ซึ่งความเคร่งเครียดอยู่เช่นเดิม
            “คุณคงไม่ได้กำลังจะบอกกับฉันหรอกนะคะว่าผีหรือวิญญาณ ที่เป็นผู้หวังดีของพวกเราไม่ได้นำพาพวกเขากลับคืนมาด้วย อย่างเช่นเดียวกันกับพวกเราสองคน” ภานุพยักหน้าเป็นคำตอบ อย่างเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ค่อยอยากที่จะสนใจอยู่เช่นเดิม
            “โอ๊ ...!! บ้าไปแล้ว พวกเขาต่างกำลังติดอยู่ในห้วงของมิติเวลาอื่นหรือนี้ ภานุนี้ ฉันกำลังฝันไปใช่ไหม” สีหน้าและแววตาของภานุก็ต่างก็กำลังถามเธอ ด้วยคำถามเดียวกันอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เธอจึงจนปัญญาที่จะคาดคั้นเอาคำตอบ
            “ผมคิดว่าหากพวกเราอยากที่จะพบปะเจอะเจอกันกับพวกเขาทั้งห้าคนอีกสักครั้ง พวกเราก็น่าที่จะลองเฝ้ารอคอยให้มันมืดค่ำเสียก่อน หรือก็น่าที่จะเป็นเวลาประมาณสามทุ่มตรงของค่ำคืนนี้อีกครั้ง” เธอกับภานุต่างกำลังหันหน้าพร้อมส่งแววตาสบประสานกัน เพราะมันเริ่มที่จะทำให้เราทั้งสองคนเกิดความงุนงงในคำพูดที่เพิ่งจะหลุดรอดออกมา เพราะเธอและภานุพวกเราต่างกำลังพูดถึงกฎเกณฑ์ของการเดินทางแห่งเวลาที่จะต้องเดินทางเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ จากยามเช้า ยามสาย ยามเที่ยง ยามบ่าย ยามเย็น และยามค่ำคืนอันมืดมิด แล้วก็จะย้อนทวนหวนกลับคืนมาเป็นยามเช้าตรู่ของวันใหม่อีกครั้ง ไม่มีทางที่การเดินทางแห่งเวลาที่จะโค้งงอหรือบิดเบี้ยวไปได้เป็นอันขาด แต่ในเวลานี้
            “ภานุคุณกำลังพูดเรื่องอะไรออกมารู้ตัวบ้างหรือเปล่า เมื่อหลายชั่วโมงก่อน พวกเรามาถึงโรงละครผีสิงแห่งนี้ กันเมื่อตอน 15.00 นาฬิกา อาจจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อย แล้วเวลาก็กระโดดข้ามไปที่ 21.00 นาฬิกา แล้วตอนนี้ก็ยังย้อนทวนหวนกลับคืนมาเป็น 15.00 นาฬิกาใหม่อีกครั้ง ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนนิดหน่อยด้วยเช่นกัน แล้วคุณยังที่จะให้พวกเรารอคอยให้มันเป็น 21.00 ใหม่อีกครั้ง หรือคุณไม่คิดเลยหรือว่าจริงๆ แล้วมันจะไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาเป็น 21.00 นาฬิกา อีกครั้งได้หรอกนะภานุ นอกเสียจากที่จะเป็น 15.00 นาฬิกา ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น”
            “คุณคงกลัวที่จะรอคอยให้ถึงสามทุ่มตรงสินะครับ” ภานุเริ่มพูดประชดแดกดันเธอ หากภานุพูดได้เช่นนั้น ทำไมเธอเองถึงจะพูดไม่ได้บ้างกันล่ะ
            “ก็ฉันกลัวว่าเวลา สามทุ่งตรง มันไม่มีวันที่จะมีอยู่จริงๆ หรอก รอคอยไปก็อาจที่จะเหนื่อยเปล่า สู้พวกเรามาหาทางสืบเสาะค้นหาปมปริศนาของโรงละครแห่งนี้ต่อไปยังจะดีกว่า” แววตาและท่าทางของภานุมีอาการขัดขืน ดื้อดึงอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ความคิดเห็นส่วนใหญ่แล้วก็กำลังคล้อยติดตามเธออยู่บ้าง
            “คุณคงอยากที่จะให้ผมลงไปช่วยเหลือหญิงสาวปริศนาที่กำลังร้องกรี๊ดๆ อยู่ข้างล่างนั้น แทนที่จะเริ่มต้นหาทางให้พวกเราหลบหนีออกไปจากที่นี่แทนหรอกนะ ใช่ไหม” เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ
            “ไม่มีทางเสียล่ะ คุณมันบ้าไปแล้ว คงเห็นผมเป็นพระเอกปัญญาอ่อนสินะ ผมไม่มีทางที่จะเปลืองเนื้อเปลืองตัวโดยไม่ได้สิ่งใดตอบแทนกลับคืนมาหรอกนะ โดยเฉพาะกับสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นมาอย่างจงใจที่ต้องการอยากจะให้มันเกิดขึ้น ในสถานที่อันเป็นปมปริศนาลึกลับซับซ้อนและมืดมนอนธการอย่างเช่นสถานที่แห่งนี้” เธออ้าปาก ตาค้างในความคิดเห็นแก่ตัวของภานุ เพราะเธอเองแอบหลงคิดมาโดยตลอดเวลาว่า ภานุคือพระเอกของเรื่องนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าภานุจะกลับกลายไปใกล้เคียงกันกับตัวโกงในหนัง ในละครหลังข่าวภาคค่ำได้อย่างมากมายขนาดนี้
            “ฉันล่ะ แอบหลงคิดว่าคุณเป็นพระเอกมาได้ตั้งเนินนาน มันน่าผิดหวังจริงๆ เฮ่อ..ช่างหัวมันเถอะ พระเอกอย่างไรเสียมันก็มีแต่เฉพาะในหนัง ในละคร เท่านั้นล่ะ” ภานุจับจ้องมองเธออย่างยิ้มๆ แล้วเริ่มกระชับฝามือของเธอและของเขาเข้าด้วยกันจนแนบแน่น พร้อมกันกับดึงร่างกายอันกำลังเสแสร้งแกล้งทำเป็นทอแท้หมดสิ้นความหวังเข้ามาอยู่ในวงแขนอันแข็งแกร่งของเขา มันรวดเร็วมากเสียจนเธอไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าขณะนี้ฝามืออีกข้างของภานุมันได้ว่างเปล่าปราศจากเชิงเทียนที่ถือเอาไว้ในตอนแรก ดังนั้นจึงไม่น่าที่จะแปลกใจอะไรหากว่าพระเอกผู้มีนิสัยดี สุภาพอ่อนโยน จึงต้องการอยากที่จะกลับกายเป็นตัวโกงได้ในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้
            “ภานุปล่อย...ฉัน”  ภานุกอดรัดเธอเอาไว้จนแน่น
            “ผิดหวังมากเลยหรือไงกันหึ ที่ผมไม่ได้เป็นพระเอกอย่างที่คุณคาดคิดเอาไว้” ริมฝีปากของภานุกระซิบอยู่ข้างๆ ใบหูของเธอ
            “ก็นิดหน่อย..” เธอฝืนตอบคำถามออกไป
            “ผมติดตามมองดูนิสัยของคุณแล้ว คุณมันก็ไม่ได้เหมาะสมกับพระเอกในหนัง ในละครเสียเท่าไหร่นักหรอกนะ ใช่ไหม” เธอเริ่มพยักหน้าอย่างฝืนๆ จะทำอย่างไรได้เล่าก็เธอกำลังตกเป็นเชลยอยู่ภายในอ้อมกอดของภานุจนขยับแขนขายังไม่ได้เลย อะไรที่เธอสามารถที่จะอ่อนให้กับเขาได้ก็ต้องทำตามใจเขาไปก่อน
            “ความจริงแล้วฉันชอบตัวโกงมากกว่าพระเอกเสียอีก” ภานุแย้มยิ้มและหัวเราะเสียงดัง
            “ฮ่าๆๆ ... คุณนี้มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียน เหมาะกันกับตัวโกงอย่างผมเสียจริงๆ”
            “คุณภานุเลิกล้อฉันเล่นเสียทีเถอะค่ะ พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายนะคะ คุณนี้เห็นเรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องตลกไปซะหมดจริงๆ” เธอใจดีสู้เสือร้ายเริ่มหาข้ออ้างต่อว่าภานุกลับคืนไป แต่ภานุก็ยังคงแย้มยิ้มอยู่เช่นเดิมไม่ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดของเขาเสียที
            “เมื่อพวกเราออกไปจากที่นี่กันได้แล้ว คุณกับผมเราน่าจะลองมาคบหากันดูไหมครับ” ภาวการณ์ของตัวโกงเริ่มที่จะจืดจางหายไปบ้างนิดหน่อย เหลือทิ้งเอาไว้แต่ภานุคนเดิมที่เธอเคยรู้จักเท่านั้น
            “คะ คะ...” ในเวลาเช่นนี้จะให้เธอตอบรับสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้นแหละ แม้ภานุจะขอให้เธอตอบตกลงแต่งงานด้วยก็ตามที เธอก็จะยอมตอบตกลงเอาไว้ก่อนเช่นกัน ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ค่อยไปว่ากันอีกที
            “คุณตอบให้มันดูจริงใจหน่อยสิครับ ผมไม่ใช่วัว ใช่ควายนะครับ อะไรกัน คะ คะ...ผมก็มีพ่อมีแม่และก็ยังเคยคบหากันกับผู้หญิงมาก่อนหน้าคุณแล้วหลายคนเหมือนกันนะครับ และไม่มีใครเลยเคยที่จะตอบรับคำขอของผมได้อย่างพิลึกพิลั่นและขาดความจริงใจได้มากเท่าคุณมาก่อนเลย”
            “แล้วคุณคิดว่า ฉันควรที่จะตอบคำถามของคุณว่าอย่างไรกันล่ะค่ะ” เธอเสแสร้งแกล้งย้อนคำถามกลับคืนไป อย่างต้องการที่จะทดสอบวัดชั้นเชิงในการจีบผู้หญิงของภานุดู
            “คุณควรที่จะหอมแก้มผม เป็นการขอบคุณผมก่อนมังครับ” ภานุคงจะบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน หรือว่าเธอเองที่จะเป็นฝ่ายตกยุคสมัย ที่ไม่รู้ว่าต้องหอมแก้มผู้ชายทุกคนก่อนเสมอเมื่อเขาเริ่มขอเธอเป็นแฟนด้วย
            “ต่อจากหอมแก้มแล้วฉันควรต้องเริ่มทำอย่างไรต่อไปค่ะ”
            “ก็แค่เรื่องง่ายๆ แค่บอกว่ารักผมมาก อยากที่จะเป็นแฟนกับผม แค่นั้นก็จบแล้ว”
            “แล้วอีกสักเดือนหรือสองเดือนคุณก็ไม่หาแฟนคนใหม่ ต่ออีกใช่ไหมค่ะ” ภานุแย้มยิ้มอยู่เช่นเดิม
            “โดยเฉลี่ยแล้วไม่ครบเดือนดีสักคนหรอกครับ” ตกลงว่าภานุรับรู้หรือแกล้งไม่รับรู้กันแน่ว่าเธอกำลังแกล้งพูดประชดประชันเขาอยู่ ยังคงมีหน้ามาตอบคำถามยอกย้อนเธออีก
            “แสดงว่าตอนนี้ ฉันคงจะต้องหอมแก้มคุณก่อนเป็นการขอบคุณที่คุณขอฉันเป็นแฟน และต้องบอกว่ารักคุณมาก คุณถึงจะยอมปล่อยฉันออกจากอ้อมกอดของคุณใช่ไหมคะ คุณภานุ” ภานุแย้มยิ้มและพยักหน้าเป็นคำตอบ
            “ไอ้ชีกอ” เธอกำลังคิดมันอยู่ในใจ ไม่กล้าจะพูดมันออกมาเช่นเดิม
            “ก็ได้...” เธอหอมแก้มภานุอย่างรวดเร็ว พร้อมกันกับ
            “ฉันชอบคุณ”
            “คุณพูดผิด” ภานุยังยิ้มและคาดคั้นให้เธอพูดใหม่
            “ก็ได้...ฉันรักคุณมาก พอใจรึยัง” ภานุแย้มยิ้มและพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มของตัวโกงที่เธอเคยพบเห็นบ่อยๆ ในจอทีวีช่วงละครหลังข่าว
            “คุณคงจะไม่คิดที่จะกลับใจ อยากที่จะเป็นพระเอกอีกสักครั้งหนึ่งหรอกนะ ภานุ” ภานุส่ายหน้าเป็นคำตอบ
            “ผมชอบเป็นตัวโกงมากกว่า” เธออยากจะร้องกรี๊ดๆ อย่างสาวปริศนาด้านล่างนั้นเสียจริงๆ กับความดื้อดึงของภานุ ตกลงว่าภานุจะไม่ยินยอมลงไปด้านล่างนั้นจริงๆ หรือนี้
            “อย่างนั้นคุณตัวโกงอยากที่จะทำอะไรต่อไปดีล่ะค่ะ ถ้าหากคุณตัวโกงไม่คิดอยากที่จะลงไปช่วยผู้หญิงปริศนาผู้นั้นแล้ว และมันจะยังเหลืออะไรให้พวกเราได้ทำ ได้สืบเสาะค้นหากันอีก จะช่วยเพื่อนที่หลงอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรือโลกแห่งกาลเวลาก็ยังทำกันไม่ได้เลย หรือคุณคิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่ซะเฉยๆ เลยค่ะ จะเอาอย่างไรก็รีบบอกฉันมาเถอะค่ะ คุณตัวโกงข๊า” ภานุแย้มยิ้มในคำพูดประชดประชันของเธอ พร้อมกันกับเริ่มคลายวงแขนที่กอดรัดเธอเอาไว้ออกแล้วเริ่มก้าวเดินมุ่งตรงไปยังบานหน้าต่างหินอ่อนที่เปิดกว้างออกสู่วิวทิวทัศน์ด้านนอกของห้องโถง
            “ด้านนอกนั้นบรรยากาศแจ่มใสดีนะครับ”  แสงแดดทอประกายอ่อนๆ ยามเย็นอย่างเช่นผีตากผ้าอ้อม สายลมพัดพาความหอมหวนของกินหญ้าแลพื้นดินรอบนอก เสียงนกน้อยเริ่มร้องเพลงเรียกหาคู่รักของพวกมันกับลูกๆ สายน้ำในลำคลองกำลังไหลเอื่อยๆ เป็นประกายระยิบระยับอย่างน่ามอง และไม่มีเค้าของฟ้าฝนว่ามันจะตกเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยแม้แต่สักนิด
            “ภานุค่ะ เรากำลังตกอยู่ในดินแดนสนธยาจริงๆ ใช่ไหมคะ”
            “ก็อาจที่จะใช่เช่นนั้นจริงๆ ครับ โรงละครผีสิงแห่งนี้มันคือดินแดนสนธยาจริงๆ สภาพของมันเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาระหว่างสีขาวและสีดำ ระหว่างความดีและความชั่วร้าย และผมคิดว่าพวกเราสองคนอาจที่จะได้พบปะเจอะเจอกันกับทั้งสีสีดำและความชั่วร้ายมากันบ้างแล้ว ส่วนสีขาวและความดีงามพวกเราต้องรอคอยเพื่อพิสูจน์กับมันต่อไปอีก แต่ผมกลัวว่ามันจะไม่มีทั้งสีขาวและความดีงามอยู่จริงๆ หรอกนะครับ ทุกอย่างที่นี่มันล้วนแล้วแต่เป็นสีดำมืดมนอนธการด้วยกันทั้งหมดนั้นล่ะครับ”
            “ภานุคุณพูดน่ากลัวจังเลยนะคะ”
            “จะทำอย่างไรได้ล่ะครับ หากพวกเราไม่คิดที่จะหนีออกไปจากที่นี่กัน พวกเราก็ต้องอยู่เผชิญหน้ากันกับความลี้ลับกันต่อไป ไม่ว่ามันจะเป็นอาถรรพ์แบบไหนก็ตามที” แววตาของภานุมีความมุ่งมั่นและจริงจังมากยิ่งขึ้น
            “ผมคิดว่าพวกเราน่าจะลองย่องลงไปสำรวจดูหญิงสาวที่ร้องกรี๊ดๆ ด้านล่างนั้นดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ก่อนที่จะลองตรงไปสำรวจดูรถยนต์ของพวกเรากัน ดูว่ามันยังคงอยู่ที่เดิมหรือเปล่า หรือว่ามันก็ต่างพากันหายสาบสูญไปอยู่ในมิติแห่งกาลเวลาอย่างเช่นเดียวกันกับพวกเขาทั้งห้าคนด้วย” เธอลืมเรื่องรถยนต์ไปเสียสนิทเลย ขออย่าให้มันเป็นอย่างเช่นที่ภานุกำลังพูดออกมาเลย เพราะเธอต้องการกระเป๋ารวมยาเอาไว้ใช้เพื่อรักษาคนบาดเจ็บอีกหลายสิบคนจริงๆ ขอให้มันยังคงอยู่ยังที่เดิมของมันด้วยเทิด และสิบห้านาทีต่อมาเธอกลับภานุต่างก็พากันแอบย่องก้าวเดินลงมาจากขั้นบันไดจนมาถึงยังห้องโถงด้านล่างใหม่อีกครั้ง พร้อมกันกับกำเชิงเทียนที่ดับสนิทเอาไว้ในฝามือด้วยกันคนละเล่มอยู่เช่นเดิม
 
................................
 
            “พวกคุณพากันดับเทียนไขได้แล้วและนำเอากระบอกไฟฉายออกมาใช้ อย่าได้ทำตัวเป็นพวกอยู่หลังเขา เพราะนี้มันยุคสมัยนั่งจานบินหรือยานอวกาศออกไปเที่ยวเล่นนอกโลกกันแล้ว อย่าให้ผมรู้นะครับว่า ใครมันจงใจที่จะจุดไฟเผาโรงละครอันทรงคุณค่าแห่งนี้ ผมขอเตือนเอาไว้ก่อน” เธอและภานุกำลังจับจ้องมองและสังเกตดูกลุ่มคนแปลกหน้าที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป ซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงคละเคล้ากันออกไป ในเวลานี้ยังไม่สามารถที่จะนับจำนวนรวมได้ว่าผู้ชายมีกี่คน ผู้หญิงมีกี่คน และมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
            “ภานุคุณคิดว่าพวกเขามีกันทั้งหมดกี่คนคะ”
            “ซู่ส์ๆๆ...เงียบๆ” ภานุกระซิบที่ข้างใบหูของเธออยู่เช่นเดิม เธอและภานุแอบหลบซ่อนเร้นกายอยู่ด้านหลังกองเศษผ้าขาดๆ ซึ่งแยกแยะออกมาไม่ได้เลยว่าผืนไหนชิ้นไหนมันสกปรกผืนไหนมันสะอาดสะอานจนน่าที่จะนำเอามาพัดรอบกายหรือนอนกอดและห่มเอาไว้ จนกว่าเทียนไขในฝามือของเธอและภานุจะถูกจุดให้ติดสว่างไสวขึ้นมาใหม่อีกสักครั้งเสียก่อนเท่านั้น
            “ตรวจดูศพของมันซิ มันเป็นอะไรถึงได้ตาย” เสียงผู้ชายคนเดิมท่าทางเป็นผู้นำพูดออกคำสั่งขึ้น
            “เอาไฟฉายส่องตรงมาทางนี้ ส่องเข้าไปให้สว่างทั่วๆ กันไปเลย” ลำแสงสีนวลของกระบอกไฟฉายถูกส่องจับโฟกัสมุ่งตรงไปยังจุดเดียวกันนับกว่าสิบกระบอกจนสว่างไสวไปจนทั่วทั้งยังจุดเกิดเหตุ
            “โอ่...พระเจ้าช่วย ใครมันโรคจิตได้ขนาดนี้กันว่ะ” ถึงแม้เธอกับภานุจะมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจนมากมายนัก แต่ก็พอที่จะสังเกตเห็นได้จากลำแสงจากกระบอกไฟฉายที่แยกส่องจับไปยังจุดต่างๆ ของแต่ละจุด ของแต่ละชิ้นส่วนจากร่างกายของมนุษย์
            “ผมเจอหัวของมันแล้วครับ” หนึ่งในสมาชิกนิรนาม รายงานเหตุการณ์ขึ้น
            “โอ่...พระเจ้าโรคจิตชัดๆ...ใครมันทำได้ขนาดนี้กันว่ะ” จากที่เจอะเจอศีรษะ ในเวลาอันไล่เลี่ยกัน ต่างก็พากันรวมรวบชิ้นส่วนของศพมาประกอบรวมเข้าด้วยกันซึ่งแยกได้ดังนี้ ศีรษะ แขน ขา ลำตัวสองท่อน และชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ อีกมากมายหลายชิ้นที่ไม่คิดอยากจะนำมานับรวมเข้าไปด้วย แต่เมื่อนำชิ้นส่วนที่มองเห็นกันได้อย่างชัดเจนมานับรวมแล้วได้จำนวนทั้งสิ้น 5 ชิ้น
            “คิดว่าสาเหตุการตายเป็นอะไรครับ อย่าบอกผมนะครับว่าเป็นการฆ่าตัวตาย” มันเป็นคำพูดที่ดูออกจะติดตลกสำหรับคนเส้นตื้นไปบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับใครบ้างคนที่กำลังต้องการคำตอบอันเป็นความจริงอันน่าสยดสยองเลยสักนิด ชายวัยกลางคนน่าที่จะมีอาชีพอย่างเช่นเดียวกันกับเธอ เริ่มต้นรายงานผลการพิสูจน์พลิกศพ
            “ก็เห็นกันอยู่ว่ามันเป็นการถูกฆาตกรรม แถมคนฆ่าก็ไม่ใช่คนธรรมดาด้วย โรคจิตกันเห็นๆ มีอย่างที่ไหนฟันแยกชิ้นส่วนออกไปตั้งห้าชิ้น มันบ้าไปแล้วแน่ๆ เลย”
            “ใครพอจะหาอาวุธฆาตกรรมเจอบ้าง แล้วใครเป็นคนพบศพเป็นคนแรก” เสียงตอบรับดังขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน
            “ฉะ..ฉัน...นี้ครับอาวุธ”  คนพบเจอะเจอศพเป็นคนแรกเป็นผู้หญิงสาวอายุน่าประมาณ 28 – 29 ปี หล่อนกำลังนั่งนิ่งหมดสิ้นเรี่ยวแรงเนื้อตัวสั่นเทา ส่วนอาวุธน่าที่จะเป็นมีดดาบสีน้ำตาลอันคมกริชความยาวประมาณหนึ่งวาของผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่ง มันไม่น่าแปลกใจอะไรหากต้องการจะใช้ฟันใครแล้วมันจะไม่ขาดออกเป็นสองท่อน
            “พวกเราเจอะเจอศพ เจอะเจออาวุธใช้ฆ่าแถมเจอพยานรู้เห็นการตาย แต่ที่ยังไม่เจอะเจอก็คือตัวฆาตกรที่ลงมือฆ่าผู้ชายคนนี้ และผมคิดว่าหนึ่งในจำนวนพวกเราทุกคนจะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่จะต้องเป็นฆาตกรอยู่ด้วยอย่างแน่นอน” เสียงฮือฮาปรากฏขึ้นมาจากกลุ่มคนแปลกหน้าทั้งหมดกว่ายี่สิบคน
            “บ้าไปแล้วอย่ามากล่าวหากันมั่วๆ อย่างนี้สิครับ ควรที่จะสืบหาหลักฐานมาพิสูจน์กันโดยเร็วจะดีกว่า”
            “ใช่...” น้ำเสียงตะโกนออกมาจากปากของกลุ่มคนรวมกันแล้วกว่ายี่สิบปาก ยกเว้นแต่เธอและภานุที่แอบซ่อนเร้นกายอยู่ภายในเงามืดที่ไม่กล้าที่จะตะโกนออกเสียงสนับสนุนไปด้วย
            “ภานุฉันคันมากเลย” ภานุกอดเธอเอาไว้จนแน่น แล้วค่อยที่จะเอาฝามือปิดปากของเธอเอาไว้อยู่ตลอดเวลาที่เธอพยายามจะอ้าปากพูดสิ่งใดก็ตาม
            “ซู่ส์...เงียบๆ อยากถูกจับได้รึไงกัน” ภานุบ้าไปแล้วแน่ๆ จนปานนี้แล้วก็น่าที่จะรับรู้ได้แล้วว่าพวกกลุ่มคนประหลาดๆ พวกนั้นต่างก็เป็นคนมีชีวิตจิตใจอยู่จริงๆ ยังจะแอบซ่อนเร้นในที่มืดๆ อะไรอยู่ตรงนี้อีก เธอคันก็คัน ร้อนก็ร้อน ตับจะแตกตายอยู่แล้ว และเธออยากจะบ้าตายเสียจริงๆ เลย
            “ตกลงอย่างนั้นวันนี้พอกันแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะแจ้งตำรวจให้มารับศพกลับคืนไป และปล่อยให้ตำรวจเข้ามาจัดการตามจับตัวฆาตกรกันต่อไป” น้ำเสียงฮือฮาปรากฏออกมาจากริมฝีปากของกลุ่มคนอีกครั้ง
            “อย่างนั้น วันนี้พวกเราก็ไม่สามารถที่จะไว้ใจใครได้เลยสิครับ” หนึ่งในสมาชิกนิรนามถามขึ้น
            “แน่นอนสิครับ มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
            “บ้าไปแล้ว ผมไม่ขออยู่ที่นี่ต่ออีกแล้ว ผมจะกลับบ้านแล้วครับ”
            “ใช่...” เสียงแบบเดียวกันกว่ายี่สิบเสียง ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง
            “เรือลำแรกที่จะมารอคอยรับพวกเรา ก็อาจที่จะเป็นพรุ่งนี้เช้าตอนสายๆ เวลานี้ทุกคนยังคงต้องติดอยู่ที่นี่กันไปก่อน” เสียงฮือฮาปรากฏมาจากกลุ่มคนอีกครั้ง
            “ผมเสียใจด้วย ที่จะต้องให้พวกคุณอยู่ที่นี่กันต่อไปอีกสักหลายชั่วโมงถึงจะสามารถกลับบ้านกันได้” เมื่อไม่มีหนทางอื่นที่จะออกไปจากโรงละครผีสิงแห่งนี้ ทุกคนจึงจำยอมจำใจที่จะอยู่กันต่อ อย่างเช่นเดียวกันกับเธอและภานุด้วยเช่นเดียวกัน
            “อย่างนั้นพวกเรากลับคืนไปรวมตัวกันที่ห้องโถงตามเดิมเถอะครับ ที่นี่มันดูน่าอึดอัดจนเกินไป” แน่นอนว่าใครบ้างอยากที่จะมานั่งเฝ้าศพแยกชิ้นส่วน เหม็นกลิ่นคาวเลือดอยู่ภายในโรงละครผีสิงแห่งนี้กันอีก เธอและภานุก็เป็นอย่างเช่นเดียวกัน ไม่นานทุกคนก็ต่างก้าวเดินห่างออกไปจากจุดที่เธอและภานุแอบหลบซ่อนเร้นกายกันอยู่ ความเงียบสงัดเริ่มเข้ามาครอบคลุมอาณาบริเวณอย่างฉับพลันทันที
            “ภานุพวกเขาไปกันหมดแล้ว” เธอกระซิบเข้าที่ข้างริมใบหูของภานุเช่นเดียวกันกับที่เขาทำกันกับเธอ แต่ภานุกับยังคงเงียบกริบอยู่เช่นเดิมจนเธอเริ่มนึกสงสัย จึงจับจ้องมองตรงไปยังจุดที่ภานุกำลังมองอยู่
            “โอ่...พระเจ้านั้นมันตัวอะไรกัน” เธอคิดมันออกมาเป็นคำพูดดังๆ อยู่ภายในจิตใจ เธอจดจำใบหน้าของชายชราอายุ 70 ปี ในรูปถ่ายภายในห้องเก็บรูปภาพเก่าๆ พวกนั้นได้เป็นอย่างดีในเวลานี้ ชายชราอันมีรูปลักษณ์สุดแสนจะน่าสะอิดสะเอียนแลสยดสยองอย่างเป็นที่สุด โดยเริ่มจากด้านล่างตั้งแต่ช่วงเอวและสะโพกลงมาจนถึงจรดปลายเท้า จะมีรูปลักษณ์ดังเช่นกลุ่มหมอกควันสีดำมืดมิดอนธการจนมองไม่เห็นรูปลักษณ์อะไรอื่นได้อีกเลย ส่วนด้านบนตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงช่วงเอวจะมีรูปลักษณ์อย่างเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป จุดอันเด่นชัดของชายชราก็คือดวงตาอันมีสีแดงกล่ำดังชาด ดังเช่นเดียวกันกับเปลวไฟจากขุมนรก และจากความมืดมิดรอบข้างอันกลมกลืนเข้าด้วยกันก็ยังคงมีกลุ่มของหมอกควันสีดำทะมึนขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนเหนือศีรษะของชายชราผู้นั้นด้วย และมันมีรูปลักษณ์อันน่าสะอิดสะเอียนแลสยดสยองพอๆ กัน
            “ทำงานของแกได้แล้วอ้ายจัน...” น้ำเสียงของหมอกควันสีดำเหนือศีรษะออกคำสั่งกับชายชราเบื้องล่างเสียงดัง
            “ขอรับนายท่าน...” ชายชราผู้มีนามว่าอ้ายจันตอบรับคำสั่งกลับคืนไป แล้วจึงเริ่มต้นทำงานตามที่ได้รับคำสั่ง น้ำเสียงแปลกๆ จากชายชราเริ่มดังขึ้น เป็นภาษาที่เธอเองไม่เข้าใจเลยสักนิด
“สังเวยเลือดแขนขาแลชีวิต           ร่ายสถิตมนต์ดำกลับคืนสู่ร่าง
ชโลมเลือดทั่วลึงค์สำแดงฤทธิ์         ปลุกดวงจิตกลับคืนสู่นิรันดร์”
 
            ภายหลังจากท่องบทบริกรรมคาถาอันแปลกๆ จบสิ้นลงไปแล้วชิ้นส่วนต่างๆ ของซากศพก็มลายจืดจางหายไปเป็นขี้เถ้าต่อหน้าต่อตาเธอกับภานุ พร้อมกันกับน้ำเสียงตะโกนอันดังกึกก้องกัมปนาท
            “ดีมาก ฮ่าๆๆ...ดวงวิญญาณทุกดวงจักต้องเป็นของข้า...ฮ่าๆๆ...” ภายหลังจากที่น้ำเสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองของผีร้ายเริ่มจืดจางหายไป ชายชราผู้ท่องบทบริกรรมคาถาอันแปลกๆ ก็ก้าวเดินตรงเข้ามาหาเธอและภานุ ใกล้เข้ามาที่ละนิด ประมาณอีกสี่ก้าว และ ใกล้เข้ามาอีกสองก้าว จนใกล้ที่จะถึงตัวเธอและภานุอยู่แล้ว เหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
            “จงจำ-เอาไว้-ติดตาม-ค้นหา-ศิวลึงค์-ให้พบ-แล-มนต์ดำ” ภายหลังจากพูดจนจบประโยคอันหนาวเย็นยะเยือกชายชราผู้มีรูปลักษณ์อันน่าหวาดกลัวก็ถูกดูดกลืนม้วนตัวเข้าไปอยู่ยังกลุ่มหมอกควันสีดำด้านบนศีรษะ แล้วจึงเริ่มมลายจืดจางหายไปจนหมดสิ้นอีกครั้งในเวลาต่อไป
            “ภานุกอดฉันให้แน่นๆ อีกหน่อยได้ไหม” ภานุทำตามคำขอของเธอในทันที
            “เกดผมรู้สึกกลัวมากเลย”
            “ฉะ..ฉันก็กลัวเหมือนกันภานุ ฉันคิดว่ามันดีแต่ในหนัง ในละครเสียอีก อ้ายเอฟเฟคตระการตาสามมิติทะลุจออะไรอย่างนั้น มันคือเรื่องจริงใช่ไหมภานุ”
            “คงจะจริงมังครับ หากว่าพวกเราสองคนเกิดมองเห็นมันเหมือนๆ กัน” เธอกับภานุกอดรัดกันเอาไว้จนแน่นเพื่อที่จะเรียกขวัญและกำลังใจให้กลับคืนมา และเพื่อที่จะได้หาทางออกไปสืบเสาะแสวงหาศิวลึงค์ อย่างเช่นที่ชายชราผู้นั้นได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย
            “จงจำ-เอาไว้-ติดตาม-ค้นหา-ศิวลึงค์-ให้พบ-แล-มนต์ดำ” มนต์ดำเธอและภานุอาจที่จะได้ยินมันมาแล้ว เหลือก็แต่เพียงศิวลึงค์เท่านั้น ที่ยังคงจักต้องสืบค้นหาให้พบเจอะเจอมันโดยเร็ว

.............................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา