เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  22.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 14
 
เหมือนว่าทุกอย่างจะลงตัว ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดีขึ้น เปิดเผยกันมากขึ้น เสียงหัวเราะที่ประสานกันตลอดบ่งบอกให้ถึงความสุขที่พวกเขาได้แบ่งปันกัน แต่เหตุใดหน่อ เมื่อมีความสุขมักจะมีความทุกข์เข้ามาแทรกเสมอ นี้อาจจะเป็นสิ่งเราต้องคอยเผชิญมันอยู่เสมอ คอยที่จะยอมรับความต่างที่ไม่เหมือนนั้น การยอมรับของฝ่ายตรงข้าม การไว้วางใจและอีกมากมายที่คนรักกันพึงปฏิบัติต่อกัน
“คุณคาร์ล คราวที่แล้วดันเกิดเรื่องซะก่อน วันนี้เราว่าเราไปเที่ยวกันใหม่นะ” ไขไข่เยชวนเขาอีกครั้งเมื่อเธอเห็นว่าวันนี้ไม่มีอะไรทำ
“ไม่เอา ขี้เกียจไป...” คาร์ลบอกด้วยความเกียจคร้าน “เรื่องคราวที่แล้วก็เอาผมเกือบแย่”
เรื่องของครั้งที่แล้วทำให้ฉันไม่สามารถออกไปไหนได้เลย เมื่อภาพพวกนั้นได้หลุดออกไปสื่อบันเทิงข่ายต่างๆ ต่างมาเฝ้าเขาไม่ไปไหน แต่เขาก็สามารถปฏิเสธได้ทุกอย่างจนนักข่าวต่างเลิกสนใจไปตามๆกัน เขานี้ชักสุดยอดเลยจริงๆ
“น่านะ”
“ไม่”
“งั้นฉันไปคนเดียวก็ได้” เมื่อเขาไม่สนฉันก็ไม่ง้อ ฉันลุกขึ้นเตรียมจะออกจาห้องแต่ก็ต้องถูกเขาขวางทางไว้เสียก่อน
“เอารถเราไปนะ”
“ตามใจคุณเลย” เมื่อได้ข้อตกลงเราก็ออกเดินทางทันที โดยสถานที่ที่ฉันจะไปนั้นก็ไม่ได้พิเศษอะไรมากมายแต่ว่า
ระหว่างทางคาร์ลถามตลอดว่าเธอจะพาเขาไปไหนแต่มีหรือที่ไขไข่จะยอมบอก แต่เธอเชื่อแน่ว่าเขาจะต้องดีใจแน่ๆที่เธอพาเขามาที่นี้
            “ที่นี้มัน”
            “พรืด...ใช่แล้ว ตลาดนัด แหล่งรวมวัยรุ่นและทุกๆสรรพสิ่ง” เมื่อมาถึงฉันก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเขายืนตาโตไม่ขยับตัวไปไหน “อย่างแรกเราต้องแปลงโฉมเจ้าชายให้เป็นยาจกก่อนนะจ๊ะ” พูดเสร็จฉันก็ลากเขาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนเจ้าชายให้เป็นยาจก ซึ่งตัวเขายังไม่ทันจะหายตกใจ
พอเข้ามาในร้านได้ฉันก็หยิบเสื้อผ้าตัวนั้นตัวนี้ให้เขาลองใส่ ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามที่จะไม่ยอมแต่พอเจอตาที่เขม็งของฉัน เขาก็ยอมเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที...ผ่านไปไม่นานเข้าก็ออกมาด้วยเสื้อผ้าสุดเก๋ แต่...
“ฉันคิดว่าคุณยังดูหล่อเกินไป” แล้วฉันก็สั่งให้เขาเข้าไปเปลี่ยนใหม่ ถึงแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกเขาก็ยังดูดีเกินไป
            “เป็นไง ดูดีไม” คาร์ลเดินออกมาพร้อมกับเสื้อตัวใหม่ที่ใส่แล้วยังไงก็ยังดูเหมือนเจ้าชายเพราะด้วยความสูงที่โดดเด่นลับกลับผิวที่ขาวเปล่งของเขา
            “คุณดูดีมาก แต่ฉันไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น” ไขไข่มองอย่างพินิจแล้วคิดว่าจะทำยังไงให้เขาดูเหมือนคนธรรมดาเท่าไปดี
            “ฉันคิดออกแล้ว” ไขไข่ลากเขาไปลื้อเสื้อผ้าตัวนั้นตัวนี้ออกมาจนคาร์ลเริ่มชักจะหวั่นๆ
            “ไขไข่ ฉันว่าแบบนี้ก็ไม่เป็นไรมั้ง” คาร์ลถามเสียงไม่แน่ใจ
            “ไม่ได้หรอก” ไขไข่หันมามองหน้าเขาแล้วชี้ไปทางห้องลองเสื้อผ้า
            “แต่นี้มันเกือบทั้งร้านเลยนะ ผมคงเปลี่ยนไม่ไหว” คาร์ลมองเสื้อผ้าที่เขาถือแล้วเริ่มถ้อใจ แต่สักพักรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็เผยขึ้น “แต่ถ้าที่รักจะให้ความกรุณามาช่วยเปลี่ยนก็ไม่ว่ากันนะ” และเพียงเท่านั้นขายไข่ก็คว้าเสื้อทั้งหมดที่เขาถือยืนให้พนักงานที่รอรับสินค้าจากลูกค้าแล้วลากแขนคาร์ลออกจากร้านทันที
            “ฉันว่าคุณก็ใส่ตัวนี้แล้วเหมือนคนธรรมดาดี” พอออกจากร้านไขไข่ก็หันมาบอกเขา
            “หรอ แต่ผมว่า...”
            “ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้คุณไม่เหมือนมาดนักธุรกิจสักนิด” ไขไข่ขัดเขาทันทีแล้วเริ่มออกเดิน
            “แค่นี้ก็โกรธด้วยแหะ” คาร์ลมองตามร่างเล็กๆที่เริ่มเดินเข้าไปปะปนกับฝูงชนก็เริ่มออกเดิน
            “เดี๋ยวก็หลงหรอก” เขาคว้ามือไขไข่มากุมไว้
            “คุณหิวหรือยัง” ไขไข่ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดกลับเอ่ยชวนเขาไปหาของกิน
            “มีอยู่ร้านหนึ่งอร่อยมากๆเลยละ” ไขไข่ยังคงเชิญชวนเขา
            “เอาสิ ที่ไหนละ”
            “ที่นี้ไง”
            “หือ นี้มัน”
ไม่มีเรื่องไหนที่คาร์ลไม่รู้เกี่ยวกับไขไข่ แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่เคยมาที่นี้มากก่อนเลย ไม่คิดว่าเธอจะพาเขามาทานที่ทำงานของเธอ ซึ่งหลายครั้งที่เขามักจะเปรยๆว่าอยากให้เธอพามาที่ๆเธออยู่
เมื่อไขไข่เห็นคาร์ลยืนทำหน้าอึ้งก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆ เธอจำได้ว่าเขาอะไรเธอบ้าง แต่เธอมักจะแกล้งทำเป็นลืมหรือจำไม่ได้ และที่เธอพามาก็เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ทำงานของเธอเอง อีกอย่างที่พาเขามาที่นี้ก็อาจเป็นเพราะฉันคิดถึงอาซ้อที่เปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งเลยอยากแนะนำให้อาซ้อรู้จักกับเขา
            “ใช่แล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” ไขไข่ปล่อยให้คาร์ลยืนงงอยู่หน้าร้านแล้วเดินเข้าไปข้างใน
            “อาซ้อ ฉันมาแล้ว” ไขไข่ตรงดิ่งไปที่หลังครัวทันทีเพื่อที่ไปหาอาซ้อแต่สิ่งที่ได้พบกับเป็นผายคนหนึ่งกำลังขะมักเขม้นทำอาหารอยู่ตรงหน้า
            เขาละจากสิ่งที่ทำตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาแล้วต้องแปลกใจที่เห็นเธอมายืนอยู่ตรงนี้
            “ไขไข่”
            “นายมาอยู่นี้ได้ยังไง” ไขไข่ถามด้วยความงงสุดๆ เมื่อเห็นเหวินอี้ที่สวมผ้ากันเปื้อน ตรงหน้าผากก็มีผ้าขนหนูพาดไว้อีก
 
            “อืม ฉันแวะมากินข้าวที่นี้แต่เห็นอาซ้อไม่ค่อยสบายฉันก็เลยมาช่วยนะ” เหวินอี้ไขข้อข้องใจอย่างสบายๆ
            “น้อง ขอเมนูหน่อย” เสียงตะโกนของลูกค้าดังมาทางหน้าร้าน
            “ฉันไปดูลูกค้าให้” แล้วฉันก็ออกมาและเจอคาร์ลที่ยืนงงอยู่ตรงกลางร้านซึ่งก็มีลูกค้าสาวๆจ้องหน้าเขาตาเป็นมัน
            “คุณคาร์ลเข้ามานั่งก่อนคะ” ฉันลากเขามานั่งที่โต๊ะยังว่าง “เดี๋ยวฉันไปรับออร์เดอร์จากลูกค้าก่อนนะคะ เพราะตอนนี้อาซ้อไม่สบาย” ฉันบอกคาร์ลแล้วก็เริ่มทำงานโดยไม่สนใจเสียงขัดค้านของคาร์ล
            “ทาคิโคมิ มาแล้วครับ” เหวินอี้ถือถาดอาหารออกมาจากครัวทำให้คาร์ลที่มองเมนูถึงกับเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียง           
            “หมอนี้มาได้ยังไง” คาร์ลถามตัวเอง “แล้วอาซ้อไปไหน” และเขาก็เริ่มมองหาอาซ้อเจ้าของร้านทันที และมอไปทางไหนก็ไม่เห็นเจ้าของร้าน
            “ไขไข่ หมอนั้นมาทำอะไรที่นี้” ไขไข่ที่เห็นเขามองไปทั่วร้านก็เดินเข้ามาถามเพื่อว่าเขาต้องการอะไร
            “มาช่วยไง อาซ้อไม่สบาย” ไขไข่ตอบแบบไม่คิดอะไรแต่ผิดกับอีกคนที่เริ่มมองไขไข่แบบไม่พอใจ
            “เธอไม่ได้ปั่นหัวฉันเล่นอยู่ใช่ไม” ในใจของเขาไม่อยากที่จะถามออกไปอย่างนั้น แต่มันก็ห้ามไม่อยู่เมื่อเห็นว่าเธอยังติดต่อกับคนรักเก่าอยู่
            “คุณพูดอะไร...”
            “ไขไข่ เอาเทอริยากิไปเสริ์ฟที” เหวินอี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรตะโกนจากหลังร้านทำให้ไขไข่ต้องละจากคาร์ล
แต่พอออกมาก็ไม่เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว ฉันรีบเอาอาหารไปเสริ์ฟลูกค้าแล้วออกจากร้านเพื่อไปดูว่าเขายังจะไม่ไปไหน แต่พอออกจากร้านก็ไม่เห็นเขาแล้ว มองซ้ายมองขวาก็ไม่มีฉันเริ่มออกวิ่งตามหาเขาทั่วทุกที่แต่ก็ไม่เจอ ผู้คนเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆแต่ฉันก็ยังที่จะเบียดเสียดพวกเขาเพื่อตามหาเขาแต่ก็ไม่เจอ เขาอาจไม่พอใจฉันที่ฉันไม่ให้ความสนใจแกเขา แต่เขาก็น่าจะรู้ว่า ฉันต้องช่วยอาซ้อ หรือเขาจะหึงฉัน...คิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งทำให้ไขไข่โมตัวเองที่ไม่คิดอะไร
            “ไอ้บ้าคาร์ล นายทำให้ฉันโกรธนาย” ฉันเดินแตะฝุ่นกลับมาที่ร้านแล้วก็เจอเหวินอี้ที่มองมาอย่างเป็นห่วง สายตานี้ไม่เคยมองฉันเปลี่ยนไปเลย
            “หายไปไหนมา” เขาถาม
            “เขาไปแล้ว” ฉันตอบแล้วเดินเข้าไปในครัว
            “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไม” เหวินอี้ถามด้วยความเป็นห่วง
            “ไม่หรอก ทำงานต่อเถอะ” ถึงแม้จะตอบออกไปอย่างนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วหัวใจดวงน้อยที่ค่อยอยู่อย่างสงบก็ต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดและรู้สึกถึงความกลัวที่มาจากไหนไม่รู้     
            “ไขไข่ เธอโอเคใช่ไม” เหวินอี้เข้ามาจับที่ไหล่และถามอีกครั้ง
            “ฉันสบายดีนิ” ฉันตอบออกไปแต่ปากเริ่มเบะออกเหมือนจะร้องไห้ออกมา
            “อยากร้องก็ร้องเถอะ” เพียงแค่นั้น น้ำตาที่ไม่คิดจะไหลก็ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นี้เป็นความรู้สึกแรกที่ฉันเจอ ผู้ชายที่อยู่ข้างฉันตลอดพอไม่เห็นเขาก็เหมือนกับว่าโลกทั้งใบเหลือเพียงฉันคนเดียว ฉันเกลียดความรู้สึกนี้จังให้ตายสิ
 
            “แน่ใจหรอว่าจะไม่ไปหาเขานะ” เหวินอี้มาส่งฉันที่หน้าบ้านก็ถามขึ้น
            “ไม่ละ เขาทิ้งฉันไปนิ” ฉันตอบพรางยิ้มอ่อนๆ
            “ตามใจเธอแล้วกัน งั้นฉันไปก่อนนะ” แล้วเหวินอี้ก็เดินขึ้นรถแล้วจากไป
            “ก็ในเมื่อเขาไม่ต้องการฉันแล้วนิหน่า” ฉันพูดกับตัวเองด้วยความเศร้า
และดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะเป็นค่ำคืนที่ยาวนานกว่าวันไหนๆ ไขไข่ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาเหมือนรู้สึกถึงความโหวงเหวง เพราะทุกครั้งจะมีอ้อมกอดแข็งแรงและอบอุ่นคอยกอดเธอจนเธอหลับแต่ตอนนี้มันว่างเปล่า
            “ทำไมนายต้องมาอยู่ในความคิดฉันตลอดเลยนะ” ไขไข่ลุกขึ้นนั่งบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิด
            “เลิกคิดถึงได้แล้ว เขาก็แค่ผู้ชายงี่เง่า”
            “จงหลับๆ” ไขไข่ถึงกับต้องกล่อมตัวเองให้หลับ ถึงแม้จะใช้เวลานานแค่ไหนแต่ด้วยความเหนื่อยที่ทำงานบวกกับการร้องไห้ก็ทำให้เธอเผลอหลับไปในที่สุด และเธอหวังว่าพรุ่งนี้ตื่นมาเขาจะมาหาเธอเหมือนทุกครั้ง...เธอจะรอ
 
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเพราะตั้งแต่ที่คาร์ลหายไปจากร้านอาหารญี่ปุ่นจนปัจจุบันเขาก็ยังไม่มาให้เห็นหน้า แต่เขาก็ไม่ได้หายไปจากวงโคจรชีวิตของฉันเพราะเขานั้นมักจะแสดงตัวในสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยาสารหรือแม้แต่โทรทัศน์ก็ตาม เมื่อก่อนเขาไม่ใช่พวกชอบออกสื่อนัก แต่มาตอนนี้เขากลับออกสื่อเป็นว่าเล่นเหมือนกับเขาจงใจทำและเขาไม่ได้ออกมาคนเดียวเขามีคนคู่กายของเขาไม่ใช่ฉันหรอกแต่เป็นคุณเพ้ย พวกเขาสองคนดูเหมาะสมกันมากจนทำให้คนรอบข้างต่างมองกันอย่างอิจฉา จนได้ฉายาคู่รักคู่หวานไป
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ลานกว้างที่เต็มไปหญ้าเขียวขจีเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มีกลุ่มก้อนเมฆหลากหลายลวดลายพร้อมรับกับสายลมเย็นๆ
            “แกเหม่ออีกแล้วนะ” อาเยียนเดินเข้ามานั่งข้างๆแล้วมองอย่างไม่พอใจ
            “ป่าวเหม่อซะหน่อย ฉันก็แค่ดูรูปก้อนเมฆที่เปลี่ยนไป” ฉันตอบขณะที่ยังคงมองการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆ
            “อย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่” อาเยียนยังคงเซ้าซี้ไม่เลิกหลังจากที่รู้ว่าอาการของฉันเปลี่ยนไปสาเหตุมาจากอะไร   
ฉันไม่ตอบอะไรได้แต่มองดูท้องฟ้าที่ใสสะอาดและดูสบายอยู่อย่างนั้นจนอาเยียนทนไม่ไหวต้องทิ้งตัวลงนอนข้างๆแล้วหยิบหนังสืออกมาอ่านแก้เซ็ง
            “อยากกลับก็ได้นะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ” ฉันล้มตัวลงตามอาเยียนแล้วหันไปมองเธอยิ้มๆ
            “ยัยบ้ายังจะยิ้มอยู่อีก โป๊ก!” อาเยียนทิ้งหนังสือลงมาที่หน้าผากฉันดังโป๊ก
            “แกเอาสันหนังสือมาตีหน้าผากฉันทำไมเนี่ย” เจ็บเป็นบ้าเลย
            “หมั่นไส้คนงี่เง่า”
            “ฮ่าๆๆ” และพวกเราสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
            ในยามทุกข์ก็จะมีเพื่อนที่คอยเป็นห่วงเราและอยู่เคียงข้างเราจนผ่านสิ่งเลวร้ายไปได้ ในยามสุขก็มีเพื่อนคอยที่จะหัวเราะไปกับเรา เพื่อนเปรียบเสมือนยาวิเศษที่ทำให้เรามีชีวิตต่อไปได้ เพื่อนไม่เพียงแต่เป็นคนที่อยู่ยามเราเหงาหรือทุกข์หรือสุข แต่เพื่อนก็ยังเป็นความทรงจำของเราได้เช่นกัน ค่อยเล่าเรื่องราวต่างๆที่เคยผ่านมาแล้ว ค่อยย้ำเตือนในสิ่งที่เราหลงลืม ค่อยประคับประคองให้เราผ่านสิ่งต่างๆไปได้ อาเยียนฉันขอบใจเธอจริงๆ
            “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกน่า คนกันเอง” จู่ๆอาเยียนก็พูดออกมาในขณะที่อ่านหนังสือที่อยู่ในมือ
            “เธอรู้หรอ” ฉันกระพริบตาปริบๆมองด้านข้างอาเยียนที่ไม่ละสายตาไปจากหนังสือ
            “ก็เธอมองหน้าฉันจนจะทะลุไปถึงแก้มอีกซีกอยู่แล้ว”
            “เว่อร์ไปละ”
            “เราไปหาอาฉีกันเถอะ” อาเยียนปิดหนังสือที่อ่านลงแล้วชวนกันไปหาอาฉี
            “ฉันคงต้องไปร้านอาหารญี่ปุ่นนะ อาซ้อยังไม่หายดีเลย”
            “งั้นเจอกันพรุ่งนี้แล้วกันนะ” อาเยียนสรุปแล้วเข้ามากอดฉันอย่างให้กำลังใจ
 
            “มาแล้วหรอจ๊ะ” อาซ้อที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่หันมามอง
            “อาซ้อ อาซ้อยังไม่หายดีเลย เดี๋ยวก็เป็นหนักอีกหรอกคะ” ฉันรีบวิ่งเข้าไปแย่งผ้าเช็ดโต๊ะมาถือไว้แล้วประคองอาซ้อไปนั่งพักที่โต๊ะ
            “ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” อาซ้อพูดเสียงแหบแล้วตบมือฉันเบาๆคล้ายให้รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง
            “ไม่เป็นห่วงได้ยังไงละคะ อาซ้อก็เหมือนแม่หนูคนหนึ่ง ถ้าอาซ้อเป็นอะไรไปหนูก็แย่สิคะ”
            “แหม ปากหวานเชียวนะ แต่ฉันก็ขอบใจหนูจริงๆนั้นแหละ ไปๆฉันจะนั่งพักตามที่เธอขอแล้วกัน ไปทำงานได้แล้ว” อาซ้อไล่ให้ฉันไปทำงานที่ค้างไว้แล้วก็นั่งมองฉันพรางยิ้มอย่างมีความสุข
            “อาซ้อ ไขไข่” เหวินอี้เดินเข้ามาพร้อมกับวัตถุดิบที่จะเอามาทำอาหารในวันนี้
            “นายมาอีกทำไมนะ” ฉันถามด้วยความสงสัยแต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นเพียงรอยยิ้มบางๆ
            “ก็มาช่วยอาซ้อยังไง” อาซ้อเป็นคนตอบ
            “แล้วอาซ้อไม่จ้างกุ๊กมาละคะ”
            “ก็แฟนเธอเขาอยากช่วย แถมเขาก็ไม่เอาเงินด้วยนะ แล้วอาซ้อจะไปจ้างใครอื่นทำไม”
            “ใจดีจริงๆ” ฉันพึมพำแล้วหันมาเช็ดโต๊ะต่อ และเพียงไม่นานลูกค้าก็เริ่มทยอยกันเข้ามาจับจองกันจนทำให้ฉันและเหวินอี้วุ่นกับการต้อนรับลูกค้า เราต่างทำงานกันอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุดก็ปิดร้าน
            “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” ฉันถึงกับนั่งหมดแรงฟุบลงกับโต๊ะ
            “ฮ่าๆๆ เมื่อก่อนทำหนักกว่านี้ไม่เห็นบ่น” เหวินอี้เดินเข้ามานั่งลงตรงข้าม ตอนนี้อาซ้อไปพักผ่อนเอาแรงที่ข้างบนบ้านแล้ว
            “นั้นมันเมื่อก่อนนี้หน่า แต่พอมีตาบ้านั้นฉันก็...” พอพูดได้ถึงตกนี้น้ำตามันก็จะไหล
            “เธอว่าไงนะ” เหวินอี้ถามย้ำเมื่อฉันหยุดพูด
“ฉันบอกว่าฉันจะกลับมาทำงานแล้ว และต้องทำงานให้มากๆๆ”
            “เธอจะขยันเอาเงินไปทำอะไรหา!” เหวินอี้พูดพรางยื่นมือมาขยี้ผมฉันที่ไม่ได้สระมาสองวันแล้วด้วยความเมาส์มัน
            “ดูเหมือนผมเธอจะไม่ได้สระนะ” เหวินอี้ดึงมืออกแล้วมองสบตาฉัน
            “ว่าไปนั้น” ฉันทำเป็นตาโตแล้วมองเขาแบบไม่เชื่อสายตาแต่ที่จริงแล้วฉันกำลังกลบเกลื่อน เพราะฉันลืมจ่ายค่าน้ำค่าไฟและตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาไปจ่ายเลย อย่าว่าฉันซกมกเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
            “เฮ้อ เธอนี้จริงๆเลยน่า” เหวินอี้ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
            “นายยังไม่ได้บอกอาซ้อหรอว่าเราเลิกกันแล้ว” ฉันเริ่มพูดใหม่เมื่อเราเงียบกันไปสักพัก
            “ยัง ฉันไม่อยากให้อาซ้อมองฉันแปลกๆ” ก็จริงอย่างที่เหวินอี้พูด อาซ้อนั้นรักและเอ็นดูฉันเหมือนลูกเหมือนหลานถ้ารู้ว่าคนที่รักต้องถูกผู้ชายหักอกคงทำใจมองหน้าได้ยาก
            “ยูมิละ” ตั้งแต่เกิดเรื่องฉันก็ไม่เห็นพวกของยูมิเลย
            “กลับญี่ปุ่นไปแล้ว” เหวินอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจแล้วหันไปสนใจหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
            “แล้วเรื่องของเธอละ” เหวินอี้วางหนังสือพิมพ์ที่หน้ากระดาษนั้นมีรูปคาร์ลที่ยืนยิ้มโดยมีผู้หญิงที่ไม่ใช่คุณเพ้ยยืนข้องแขนอยู่ข้างๆ
            “ก็เหมือนเดิมนิ เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ตื่นจากฝันและยอมรับความจริง”
เรื่องของฉันกับคาร์ลเป็นสิ่งที่เหมือนกับฝัน เจ้าชายรูปงามชอบพอกับหญิงยาจก แต่ความฝันมันก็คือความฝัน ความจริงต่างหากที่เราต้องยอมรับว่าเจ้าชายต้องคู่กับเจ้าหญิงผู้เลอโฉม
            “ฉันจะไปอธิบายให้เขาฟังก็ได้นะว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
            “นายอธิบายไปก็เท่านั้น ในเมื่อเขาเชื่อย่างที่เขาเห็น”
            “งั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน” เหวินอี้เลิกเซ้าซี้แล้วลุกเข้าไปในครัว ตอนนี้ก็เริ่มดึกลงเลื่อยๆแล้วฉันควรที่จะเก็บโต๊ะส่วนที่เหลือได้แล้วละ
            “ฉันจะไปส่งเธอเอง”
 เหวินอี้อาสาที่จะไปส่งฉันที่บ้านหลังจากที่เราบอกลาอาซ้อพร้อมกับปิดร้านให้เรียบร้อย
            “แต่ฉันหิวอ่า”
            “งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนกลับแล้วกันนะ”
            “โอเคเลย เราไปกินอะไรดีน่า”
ไขไข่เริ่มคิดเมนูอาหารว่าตัวเองอยากจะกินอะไรอยู่นั้นก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าที่เธอทำตัวร่าเริงนั้นทำให้คนที่มองเธออยู่รู้สึกสงสารขึ้นมา แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ในเมื่อเจ้าตัวปัญหาไม่ยอมมาแก้ไขเอง เขาก็ได้แต่หวังในใจว่าสักวันคนที่เขาเคยรักจะต้องมีความสุข
            “หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรอ” ไขไข่ถามเหวินอี้ที่เอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบ ถามอะไรก็ไม่ตอบ
            “เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เหวินอี้รีบบอกปฏิเสธแล้วก็เอ่ยต่อ “ก็แค่รู้สึกเสียดายที่เจอเธอช้าไป”
            “ว้ายย นายอย่าพูดอย่างนี้นะ เดี๋ยวยูมิมาได้ยินเข้าฉันก็ตายกันพอดี” ฉันรีบพูดรัวทันทีด้วยกลัวว่าเจ้าของตัวจริงจะเข้ามาได้ยินแล้วเกิดความไม่พอใจจะทำให้มีเรื่องกันอีก
            “ฮ่าๆๆ ยูมิไม่ทำอะไรหรอกน่า” เขาหัวเราะร่าได้น่ารักเหมือนเธอที่ฉันเคยใฝ่ฝันว่าสักวันเขาจะต้องยิ้มแบบนี้ให้ฉันตลอดไป แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆที่เขามองรอยยิ้มน่ารักแบบนี้ให้
            “ว่าแต่ฉัน เธอก็มองหน้าฉันจนตาจะถล่นออกมาแล้ว โป๊ก!” เหวินอี้ว่าพรางดีดหน้าผากฉัน
            “โอ้ย ตาบ้าฉันเจ็บนา” ฉันลูบหน้าผากแล้วเดินตามหลังเขาที่เดินนำหน้าไปขึ้นรถแล้ว
           
            “ขอบใจนะที่มาส่ง” หลังจากที่กินข้าวแล้วเล่นจ้องหน้าดีดหน้าผากกันเสร็จและฉันก็เป็นฝ่ายแพ้เนื่องจากแพ้ความน่ารักของเขาจนทำให้หน้าผากแดงไปหมด เลยทำให้ฉันอยากกลับบ้านมาเจอความมืดเร็วๆ
            “ไม่เป็นไร แต่เธอลืมจ่ายค่าไฟจริงดิ” เขาถามพรางมองหน้าอย่างไม่เชื่อ
            “จริง นั้นไงหลัก...” ฉันกำลังจะชี้ไปทางบ้านฉันแต่จู่ๆไฟที่ดับสนิทมาสามวันก็สว่างจ้าเหมือนมีคนไปกดสวิตซ์และฉันแน่ใจว่าฉันไม่ได้กดสวิตซ์ไฟค้างไว้ “เฮ้ย ผีหลอก” ฉันรีบกระโดดเข้าไปกอดแขนเหวินอี้ทันทีด้วยความตกใจ
            “อย่ามาแต๊ะอั๋งกันได้ไม ฉันคนมีเจ้าของแล้วนะ” เหวินอี้ไม่สนใจฉันที่กำลังตัวสั่นเป็นผีเข้าด้วยความกลัวผี กลับพูดเล่นซะอย่างนั้น
            “ฉันกลัวนี้!” ฉันยังคงไม่เลิกเกาะแขนแถมยังเกาะแน่นยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อเห็นอะไรดำๆเคลื่อนไหวอยู่ในบ้าน
            “ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอก็แค่ลืมปิดสวิตซ์ไฟเท่านั้นเอง” เหวินอี้พยายามปลอบฉัน
            “ฉันแน่ใจว่าไม่เคยเปิดมัน” ฉันพูดเสียงสั่นๆ
            “อย่าต๊องไปหน่อยเลยน่า เข้าไปได้แล้ว ฉันจะรีบกลับบ้าน” คราวนี้เหวินอี้ไม่พูดเปล่าแต่พยายามแกะมือที่เกาะแน่นเยี่ยงตีนตุ๊กแกให้เอาออกจากแขน
            “นายเข้าไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ฉันหันไปมองหน้าอ้อนวอนเขาอย่างแมวน้อย
            “คราวที่แล้วที่ฉันมา เธอยังห้ามให้ฉันเข้าบ้านเลย”
            “ตอนไหน ไม่มี ฉันไม่เคยห้ามนายเข้านะ” ฉันรีบปฏิเสธเสียงสูงสั่นหัวจนผมสะบัดไปมา
            “อย่ามาแกล้งลืม ปล่อยได้แล้ว” และในที่สุดเหวินออี้ก็เกะมือฉันออกแล้วรีบเดินขึ้นไปบนรถทันทีและพอฉันจะเปิดประตูฝั่งคนนั่งเขากลับล็อคมันไม่ให้ฉันเข้าไปนั่ง
            เขาลดกระจกลงมานิดหน่อยแล้วพูดออกมาพร้อมกับโบกมือ  “ฉันไปนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้” และกระชากรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
            “นายมันบ้าชัดๆเลย ถ้าข้างในเป็นผีหรือว่าโจรฉันก็ตายสิ” ฉันตะโกนไล่หลังรถที่ตอนนี้เหลือเพียงฝุ่นที่ปลิวไสวไปตามลมเท่านั้น
            “แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไงดีละเนี่ย” ฉันหันกลับไปมองบ้านของตัวเองที่ตอนนี้ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวแต่ไฟก็ยังเปิดสว่างจ้าอยู่
            “ทำไมเพื่อนบ้านปิดไฟกันหมดละ ทุกทีดึกๆยังเปิดคาราโอเกะแหกปากกันอยู่เลย” ฉันหันไปมองข้างบ้านหลังถัดๆไปไฟก็ดับหมดเหลือเพียงไฟข้างทางเท่านั้น
            “มันชักจะวังเวงเกินไปแล้วนะ” จู่ๆสายลมอ่อนๆก็พัดผ่านต้นคอไป
            “กรี๊ดดด” ฉันกรี๊ดออกมาลั่นถนนหมู่บ้านด้วยความกลัวเมื่อจู่ๆก็มีอะไรบางอย่างหล่นมาบนไหล่ “ฉันจะทำบุญไปให้นะ อย่ามาหลอกกันเลย” ฉันทรุดลงไปนั่งพนมมือแล้วพูดอย่างรัวเร็วจนตัวเองก็จำแถมไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไปบ้าง
            “คาร์ลช่วยฉันด้วย” คนแรกที่ฉันนึกถึงก็คือคาร์ล
            “เธออยากเจอฉันหรอ” เสียงเข้มๆยานคางดังข้างๆหู
            “กรี๊ดดด ไปให้พ้นนะไอ้ผีบ้า ถ้านายยังไม่ไปฉันจะเอาข้าวสารมาเสกใส่นาย” ฉันหลับตาปี๊พนมมือสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนพูดพยายามกลั้นเสียงหัวเราะออกมา
            “ฉันไม่กลัวว”
            “นายไม่กลัวแต่ฉันกลัว คาร์ล นายหายไปไหน ฮื่อๆ” น้ำตาด้วยความกลัวไหลออกมาเลอะทั่วหน้าไปหมด “กรี๊ดดด” ไขไข่ร้องออกมาอย่าสุดเสียงจนทำให้เธอสลบ
 
คาร์ลที่เห็นน้ำใสๆออกมาก็ต้องตัดใจเลิกแกล้งแล้วคว้าตัวเธอเข้ามากอดแต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะสติแตกจนกรี๊ดสลบคาอกเขา ทีแรกเขาก็ไม่อยากจะแกล้งเธอแบบนี้หรอก เขาเองที่เป็นคนผิดที่ทิ้งเธอไป เขาพยายามที่จะไม่ให้เธอมาอยู่ในใจเขา แต่นับวันเขาก็ยิ่งคิดถึงเธอ ยิ่งไม่เห็นปฏิกิริยาอะไรของเธอเลยก็ยิ่งกลัวว่าจะเสียเธอไป เขาพยามทำทุกวิธีทางเพื่อให้รู้ว่าเธอคิดยังไงกับเขา เขาทั้งออกสื่อ ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่เธอก็ไม่เคยที่จะเข้ามาแสดงตัวว่าเขาเป็นของเธอ จนทำให้เขาอดไม่ได้เลยต้องมาพูดกับเธอให้รู้เรื่อง แต่พอมาถึงบ้านเธอก็ไม่อยู่นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นจะมา เขาเผลอหลับและสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงรถ เห็นเธอหัวเราะคิกคักกับไอ้หน้าหวานนั้นก็คิดที่อยากจะทำอะไรสักอย่างแต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะสลบซะก่อน แต่เขาก็ดีใจนะว่าเธอคิดถึงเขาเป็นคนแรกมีปัญหา แต่ยกเว้นเรื่องค่าน้ำค่าไฟถ้าลูกน้องไม่มาบอก เขาก็คงไม่รู้ว่าเธอไม่ยอมทำอะไรเลยสักอย่าง
 
            “ตื่นแล้วหรอ” หลังจากที่ไขไข่สลบไปหลายชั่วโมงก็ตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง
            “คาร์ล” พอไขไข่เห็นคาร์ลก็โผล่เข้ากอดด้วยความกลัวที่ยังไม่จางหาย
            “ไม่เป็นอะไรแล้วนะ” คาร์ลสวมรอยกอดปลอบเธออย่างใจเย็นในใจก็เอ่ยขอโทษขายไข่
            “คุณมาที่นี้ได้ยังไง” ไขไข่ผละออกจากอ้อมกอดแล้วถามด้วยความสงสัย
            “ก็...” คาร์ลถึงกับพูดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเขานั้นแสนจะคิดถึงหญิงสาวตรงหน้าแค่ไหน แต่ก็กลัวเสียฟอร์มเลยเฉไฉ “ก็มาทำธุระแถวนี้ แล้วเห็นเธอเป็นลมอยู่หน้าบ้าน”
            “อย่างนั้นหรอ” ไขไข่มีท่าทีเศร้าลงด้วยสรรพนามของเขาที่มักจะเรียกเธอว่า ที่รัก เปลี่ยนมาเป็น คุณ แทน
            “ฉันขอบคุณนะคะ แต่ตอนนี้ฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว คุณกลับเถอะคะ” ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งทำให้ปวดใจ
            “อะไรกัน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ แทนที่เธอจะอยู่ชวนทานเข้า” คาร์ลโวยวายไม่ยอมเมื่อเห็นหญิงสาวไล่ซะดื้อๆ
            “เที่ยงคืนนี้นะคะ” ไขไข่เอ่ยเสียงประหลาดที่เห็นท่าทางโวยวายของเขา
            “ก็...ก็ใช่นะสิ ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าเลยนะ” เขาอึกอักแล้วก็เถไปเรื่อย
            “งั้นคุณก็ไปหาอะไรกินเถอะคะ ที่นี้ไม่มีอะไรให้คุณกินหรอก” ไขไข่เสหน้าไปทางอื่น
            “ได้ยังไง...คุณต้องตอบแทนผมสิ...ผมช่วยคุณนะ” คาร์ลยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะอยู่ต่อให้ได้
            “ฉันขอบคุณคุณแล้วไงคะ คุณจะเอาอะไรอีก หรือต้องให้ฉันก้มหัวคุกเข่า...ฮึก” คิดว่าจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลแล้วแท้ๆ แต่เขากลับทำให้มันยากยิ่งกว่าเดิม เขาทำให้ฉันต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แล้วตอนนี้เขายังจะมาทำให้ฉันต้องมาเสียน้ำตาตรงหน้าเขาอีก หัวใจเขาทำด้วยอะไร
            “ไขไข่” คาร์ลได้แต่ครางชื่อฉันอย่างตกใจ “ผมแค่...”
            “เลิกยุ่งกับฉันซะที!!!” ฉันตะโกนใส่หน้าคาร์ลด้วยความน้อยใจและเสียใจอย่างไม่ได้ตั้งตัวและผลรับที่ได้คือ คาร์ลมองฉันอย่างตกใจและคอตก เดินออกจากบ้านไป แต่ก่อนที่เขาจะออกไปนั้นเขาก็วางแผนกระดาษสองสามใบไว้ที่โต๊ะใกล้ๆประตู
            “ชำระค่าน้ำ ไฟ แก๊ส” นี้เขาจ่ายให้ฉันหรอเนี่ย
            “ทำไมนายต้องทำดีกับฉันแบบนี้ด้วย” ฉันมองไปที่ใบเสร็จแล้วได้แต่ร้องไห้กับความงี่เง่าของตัวเอง
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา