บันทึกองค์หญิงจำเป็น

7.9

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 23.31 น.

  12 บท
  14 วิจารณ์
  26.09K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 17.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) หญิงสาวผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
สถานะ : ตีพิมพ์
หากพบเห็นว่ามีการละเมิดลิขสิทธ์โดยการทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเป็นการจงใจเพื่อละเมิดลิขสิทธิ์ข้างต้นของนิยายทุกเรื่องผู้แต่งนาม "เฟิงเหม่ยหลิง" ทางเราจะดำเนินคดีทางกฏหมาย ทั้งอาญาสูงสุดโดยไม่มีข้อยกเว้นทุกกรณี
ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่เว็ป >>เด็กดี<< หรือ 
http://my.dek-d.com/pinkalice/ 
 
บทที่ 1
หญิงสาวผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง
 
          "สิ่งใดคือผูกพัน อันใดเรียกว่ารัก...
สิ่งใดคือคำนึงถึง อันใดเรียก...ห่วงหา
ข้าไม่เคยแยกมันออกสักครา
แต่เจ้าเป็นผู้สอนข้า...ผิงเฟย"
 
          หากพูดถึงลูกขุนนางพวกเจ้าจะคิดถึงอะไรกัน? ผ้าแพรสวยๆ ก้อนหยกก้อนทองที่กองตรงหน้า? จวนใหญ่โตกินครึ่งสระบัวใหญ่?...นั่นคงไม่ใช่สำหรับฉันวังผิงเฟย ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะฉันเป็นลูกขุนนางตระกูลวังที่ตกยาก ทรัพย์สินของตระกูลถูกริบรอนไปตั้งแต่ฉันยังจำความไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ในวงการเมืองสกปรกของพวกขุนนางมักมีผู้แพ้และผู้ชนะเสมอ และฟ้าดันลิขิตให้ตระกูลวังที่เคยเป็นผู้จงรักภักดีและได้เงินอย่างสะอาดมือจนร่ำรวย ถูกพวกขุนนางชั่วร้ายรุมใส่ความท่านพ่อจนถูกถอดยศที่เคยได้ ไปอยู่ในซอกหลืบหอสมุดหลวงซึ่งเป็นตำแหน่งอันต่ำต้อยและไม่มีบทบาทใดในการเมืองอีก จวนที่เคยมีเครื่องเรือนมากมายถูกริบรอนไปแทบไม่เหลือ
          ฉันเปิดสมุดบัญชีที่จวนดู “ติดลบอีกแล้ว...เฮ้อ” ถอนหายใจยาวออกมา นี่ไม่ใช่สภาวะที่แย่ที่สุดสำหรับจวนนี้ ทุกครั้งฉันเป็นคนเขียนบัญชีมันไม่เคยติดลบมันเพียงแค่พออยู่พอใช้ไปวันๆ แต่ทุกวันนี้ท่านแม่ของฉันล้มป่วยลงด้วยโรคที่ต้องใช้เงินหลายตำลึง หลายครั้งที่ท่านพ่อตัดสินใจขายเครื่องประดับท่านแม่ที่มีอยู่น้อยชิ้น หยกเงินเป็นหยกหายากยิ่งในแคว้นฉี ฉันอยากเอามันไปขายแต่ท่านแม่ดูเหมือนจะไม่ยอมทุกครั้งนางบอกกับฉันด้วยคำตอบเดิมๆว่า
“ผิงเฟย…กำไลหยกนี้มีความหมายต่อทั้งเจ้าและแม่มากนัก”
“สำคัญอย่างไรหรือท่านแม่...ท่านพ่อให้ท่านไว้ใช่หรือไม่?” ท่านแม่ส่ายหัวช้าๆและยิ้มน้อยๆที่มุมปาก นางไม่เคยปริปากต่อเลยว่าใครเป็นคนให้ ฉันเลยไม่อยากถามเท่าไหร่นัก เพียงแต่สงสัยว่ามันสำคัญเท่าชีวิตนางเชียวหรือ?
ตอนนี้ท่านแม่นอนอยู่บนเตียงนอนไม้หลังเก่ากับชุดสีขาวเหลือบเงินชุดโปรดของนาง ท่านพ่อบอกว่าเราจำเป็นต้องหาเงินมาให้มากที่สุดเพื่อรักษานาง เพราะจำเป็นต้องใช้ยาซึ่งมีภายในวังหลวงเท่านั้น จึงพบได้น้อยและหาได้ยากยิ่ง ที่สำคัญคือราคาแพงหูฉีก ทุกวันนี้ฉันจึงหารายได้เล็กๆน้อยๆจากการรับจ้างเย็บปักผ้าและสอนหนังสือเด็กในเมืองเพื่อหาเงินเข้าจวนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และที่ฉันทำงานเหล่านี้ได้เนื่องมาจากท่านพ่อและท่านแม่สอนให้รู้หนังสือได้ดีไม่แพ้พวกลูกขุนนาง ฉันจึงสามารถอ่านหนังสือได้อย่างคล่องแคล่ว
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ฉันรีบเดินไปเรือนเย็บปักสกุลจวี๋ จวนนี้ใหญ่โตสมฐานะหน้าตาของเจ้าบ้านตระกูลจวี๋ซึ่งเป็นขุนนางระดับหนึ่งในราชสำนัก และค่าจ้างเย็บปักนี้ก็สูงตามไปด้วย เหตุผลนะหรือ?
“เจ้าเย็บผ้าได้สวยยิ่งนัก…” และนี่คือต้นเสียงของค่าจ้างเย็บปักที่แสนแพง อ๋องน้อยแห่งตระกูลจวี๋ จวี๋จวินฉี เขากำลังจับมือฉันที่ถือผ้าเช็ดหน้าปักเสร็จแล้วไปกุมไว้ ค่อยๆบรรจงจูบหลังมืออย่างนิ่มนวล ฉันถึงกับสะบัดมือหนีจนแท่นปักหล่นไปกับพื้นด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเม้มปากแน่น เรื่องอะไรจะยอมให้ผู้ชายที่ไม่ได้รักแตะต้องตัวง่ายๆเล่า! ในวังหลวงมิได้อบรมนิสัยคุณชายเหล่านี้เลยหรือไรกัน?
แต่ฉันก็ไม่ได้สงสัยเท่าไหร่นักกับพฤติกรรมน่ารังเกียจนี่เพราะชื่อเสียงและข่าวลือของอ๋องน้อยผู้นี้ขึ้นชื่อความเจ้าชู้ เขาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่หญิงในเมืองหลวงต่างพากันหลงใหลแต่ไม่ใช่ว่าหญิงทุกคนจะยอมและหลงใหลในตัวเขา แต่คุณชายจวี๋ก็ไม่สนใจท่าทีตอบโต้ของพวกนางเท่าไหร่นักจนหลายครั้งเกิดการขืนใจพวกนางขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับจวินฉีเพราะขุนนางผู้เป็นพ่อไม่เคยห้ามปรามลูกชายของตน ซ้ำยังหาหญิงรับใช้มาปรนเปรอลูกชายไม่ซ้ำหน้า งานเย็บปักนี้จึงถูกจ้างขึ้นเพื่อค้นหาสาวงามมาทำหน้าที่ แต่หญิงสาวผู้โชคร้ายบางรายที่เข้ามาเพราะหวังเพียงค่าจ้างแสนแพงแบบฉันจึงต้องระวังตัวและหลีกเลี่ยงเวลาช่วงค่ำที่เขาจะกลับจากจวนมาเจอเข้าเพราะไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นหญิงบำเรอให้เขาง่ายๆ
จวินฉียิ้มเย้ยหยันขึ้นที่มุมปากก่อนจะจับมือข้างที่ฉันสะบัดออกไว้แน่น “เจ้าคิดว่าค่าจ้างเจ้าในหนึ่งวันรวมอะไรไว้ในนั้นบ้างแม่นางวัง?” ใบหน้ากวนประสาทนั้นกำลังยั่วโมโหฉัน
          “ข้าคิดว่านั้นคือเงินที่จวี๋ฮูหยินให้ข้าเป็นค่าเย็บปักผ้าเช็ดหน้าสามสิบผืนกองนั้น!” ฉันถลึงตาใส่แทบจะตอบทันทีที่เค้าพูดจบ นิ้วเรียวยาวของฉันเต็มไปด้วยแผลจากเข็มชี้ไปกองผ้าที่เพิ่งปักเสร็จกองโต
คิดว่าไงหรอ? ยังกับแม่เจ้าไม่ใช้ข้าเยี่ยงทาสแบบนั้น!! ฉันแอบตะโกนในใจ ก่อนจะสะบัดมือออกอีกครั้งแต่คราวนี้เขาใช้แรงทั้งหมดบีบมือฉันไว้แน่น ทั้งๆที่มีหญิงรับใช้ยืนอยู่มากมายแท้ๆแต่กลับไม่มีใครช่วยฉันสักคน ดูเหมือนที่เขาลือกันคงจะเป็นเรื่องจริง หมอนี้ไล่ขืนใจผู้หญิงไม่เลือกหน้า! พวกนางยืนก้มหน้าอย่างละอายใจบางคนมองขึ้นสบตาฉันเป็นพักๆเหมือนกับจะมองอะไรที่จะเกิดขึ้นกับตัวฉันแต่ไม่กล้ามองเต็มตายังไงยังงั้น ให้ตายสิ!เวลาแบบนี้ฉันควรทำอย่างไรดี?!
“ข้าให้เจ้าเพิ่มอีกสิบตำลึง” จวี๋จวินฉีหยิบห่อเงินออกจากเสื้อตัวเอง รวบมือฉันเอาไว้ทั้งสองข้างไว้บนหัว ทำให้ฉันไม่สามารถดิ้นหนีเขาได้ แล้วยัดห่อเงินนั่นเข้ามาที่สาบเสื้อหน้าอกด้านข้างของฉัน หน้าฉันแดงด้วยความโกรธและเขินอาย ปฏิกิริยานี้ทำให้เขายิ้มน้อยๆอย่างจงใจแล้วลูบแก้มฉันเบาๆ ให้ตายสิ! ฉันต้องรับทำอะไรซักอย่างแล้ว!
มองซ้ายมองขวา ห้องนี้เหมือนถูกจัดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะดูเหมือนนี้เป็นห้องของหมอนี่ชัดๆ ด้านซ้ายคือกองผ้าของฉัน ด้านขวาคือเตียงนอนยาวของเขา นี้ฉันมองไม่เห็นสภาพห้องก่อนจะเหยียบเข้ามาแน่ๆเพราะฉันหันหลังปักผ้าอย่างรีบเร่งเพื่อต้องการรับค่าจ้างไวๆ มิน่าล่ะทำไมสาวใช้ถึงจงใจเลือกฉันมาปักผ้าเองสามสิบผืนในห้องนี้คนเดียวเพื่อแลกกับเงินพิเศษถึงสิบตำลึง คงเพราะต้องรอหมอนี้กลับมาจากหอคณิกาตอนสายสินะ!
“ข้ารู้ว่าแม่ของเจ้ากำลังป่วยมากเราในฐานะลูกขุนนางจึงต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเมื่อตระกูลวังกำลังลำบาก…”
“หุบปาก! ในเมื่อเจ้ารู้แล้วเหตุใดจึงทำเช่นนี้!” ฉันแผดเสียงใส่ทั้งที่จวินฉีพูดยังไม่จบ การที่เขาพูดจาเหมือนดูดีนั้นทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน จวินฉียิ้มน้อยๆก่อนจะก้มตัวลงมากระซิบข้างหูฉัน ทำให้ใบหน้าเขาชิดกับฉันมากยิ่งขึ้น เส้นผมยาวสยายที่ถูกมัดอย่างลวกๆหล่นมาจักจี้คอทำให้ฉันหน้าแดงขึ้นมา
“เจ้าไม่ต้องรู้เหตุผลหรอก…ในเมื่อเจ้ารับเงินแล้วก็จงปรนนิบัติข้าซะ!” จวินฉี แบกฉันขึ้นบ่า ก้าวยาวๆไปที่เตียงก่อนจะผลักฉันลงอย่างรุนแรง ฉันจึงอาศัยตอนที่เค้าโน้มตัวลงมาถีบเข้าที่หน้าท้องนั่นทำให้เค้าล้มลงไปกระแทกกับพื้น เมื่อเห็นว่าหมอนั้นกำลังมึน ฉันจึงรีบวิ่งออกจากห้องไปสุดฝีเท้า จนเสียงจวินฉีที่ตะโกนบอกสาวใช้ให้จับตัวฉันดังขึ้นถึงรู้ตัวว่าตัวเองมาอยู่หน้าจวนแล้ว
“แฮ่ก แฮ่ก...”
หายใจหอบพักหนึ่งจึงออกวิ่งต่อ คนรับใช้ชายตัวโตๆกำลังตามมาจับฉันแต่เรี่ยวแรงที่วิ่งเมื่อกี้นั้นเริ่มจะหมดลง เสี้ยววินาทีที่คนพวกนั้นกำลังจะถึงตัว ได้มีมืออันอบอุ่นมารวบเอวฉันไว้ก่อนจะคว้าไว้ไปที่หลังม้า
“ย้า!!” เสียงผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นดังขึ้น มือตบบังเหียนม้าอย่างรุนแรงทำให้ม้าออกวิ่งสุดแรงมัน ฉันเกาะชายเสื้อเขาไว้แน่น หันไปเยาะเย้ยจวินฉีที่เดินกุมท้องออกมา ดูท่าทางหมอนั้นโกรธสุดขีด แต่ช่างเถอะ! ในเมื่อฉันปลอดภัยแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้ว “ฮ่าๆๆ” หัวเราะในใจอย่างมีชัย  เอ๊ะ…! ไม่ใช่สิ นี้ฉันกำลังนั่งหลังม้าร่วมกับใครกัน?...แล้วหมอนี่คือใคร? ฉันมองแผ่นหลังชายแปลกหน้ากับม้าตัวนี้อย่างตกใจก่อนจะเริ่มโวยวายขึ้น
“หยุดม้าเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุด!!!” เสียงตะโกนลั่นทำให้คนหันมามองทั้งตลาด พลางใช้มือตบตีแผ่นหลังของเขา ให้ตายสิฉันเพิ่งผ่านเรื่องน่ากลัวมา ถึงเขาจะช่วยฉันไว้ก็เถอะแต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ทำอะไรฉันนี่!  เสียงฝีเท้าม้าค่อยๆลดความเร็วลง เขาพูดผ่านผ้าคลุมสีเงินดำที่คลุมไปถึงจมูก ดูท่าทางเขาจะมีวรยุทธ์ไม่ก็เป็นองครักษ์ฝีมือดีแน่
“แม่นาง…ข้าไม่คิดจะทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้น ให้ข้าไปส่งแม่นางเถอะ” เขาใช้สายตาแหลมคมนั่นมองฉันอย่างอ่อนโยน ผมที่ถูกรวบขึ้นสูงปลิวตามสายสม นี่ถ้าฉันดึงผ้าคลุมออกคงได้เห็นภาพวาดชายรูปงามเป็นแน่! ก็สายตาเขาช่างคมคายเหมือนโดนดึงดูดซะขนาดนั้น!
“ได้…” สติฉันกลับมา ไม่รู้ทำไมถึงได้เชื่อใจเขา อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ดูอบอุ่นหรือแววตานั้นล่ะมั้ง…
ม้าค่อยๆเดินย่องไปตามตรอกแคบข้างจวนฉัน หางมันสะบัดเบาๆก่อนจะหยุดลงหน้าประตูจวน เขาหันมามองฉันแวบหนึ่ง ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดลงมาบนตัวเขาทำให้เจ้าของร่างดูน่าเกรงขามไม่น้อย เขาลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล้ว ก่อนจะยื่นมือส่งให้ฉันจับไว้ ฉันยื่นมือไปจับก่อนจะดันตัวลงจากหลังม้าอย่างทุลักทุเลช่างไม่คุ้นกับการขี่ม้าเอาเสียเลย...
“ขอบคุณท่านมาก…หากไม่ได้ท่านข้าคง…” ฉันหลุบตาต่ำลงกับพื้น ความจริงฉันไม่ควรไปตีหลังเขาแบบนั้น เขาเป็นคนช่วยฉันแท้ๆ
“แม่นางอย่าคิดมาก ถ้าข้าเป็นแม่นางอาจไม่ไว้ใจใครเช่นกัน” น้ำเสียงอ่อนโยนพูดขึ้นเหมือนรู้สิ่งที่ฉันกำลังคิด
“ว่าแต่ท่านเอ่ยนามให้ข้ารู้ได้หรือไม่...หากเจอท่านอีกครั้งข้าจะได้ตอบแทนท่านบ้าง”
“ข้า…ไม่สามารถบอกแม่นางได้ ขออภัย” เค้ากุมมือขึ้น ก้มหน้าลงน้อยๆแววตาดูลำบากใจ นี่คงเป็นเรื่องปกติที่ฉันพอจะเดาได้ จากการแต่งตัวที่ดำทะมึนไปทั้งชุดกับผ้าคลุมสีดำที่จงใจปิดใบหน้านั่น เขาคงเป็นคนลึกลับที่ทำงานเบื้องหลังให้ใครอยู่แน่ๆ แต่ชุดนี้ไม่ก็สามารถปิดกล้ามเนื้อของชายหนุ่มที่ถูกฝึกมาอย่างหนักได้และหากมองดีๆมัดกล้ามที่หน้าท้องนั้นก็ชวนหลงใหลไม่น้อย โอ๊ยนี้ฉันคิดอะไรเนี่ย!? แบบนี้สินะถึงไม่มีคนรักกับเขาสักที…
“แม่นางวัง…ข้าขอเตือนแม่นางว่าอย่าได้ไปยุ่งกับสกุลจวี๋อีก” สายตาเขาเปลี่ยนเป็นดุดัน
“ท่านรู้แซ่ข้าได้อย่างไร?” ฉันถามอย่างสงสัย เขาจึงชี้ไปที่ป้ายสกุลหน้าจวนฉัน
“ข้าขอเตือนแม่นางอีกครั้งอย่าเข้าใกล้สกุลจวี๋อีก…ลาก่อน” เขาพูดน้ำเสียงดูจริงจัง ยกมือขึ้นกุมคำนับอย่างมีมารยาทและควบม้าออกไปอย่างเร่งรีบ ฉันมองตามเขาอย่างสงสัยจนเสียงม้านั้นไกลออกไป
“ผิงเฟย…นี่เจ้ามากับใคร?” เมื่อหันหลังกลับไปจึงเห็นท่านพ่อยืนมองฉันอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สายตาบ่งบอกความสงสัยที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ก็แน่ละ! ฉันไม่เคยคบหาผู้ชายคนไหนมาก่อน นี่จึงเป็นเรื่องแปลกมากที่ฉันจะนั่งหลังม้าร่วมกับใครอย่างเปิดเผยแบบนี้
“ลูกไม่รู้…แต่เขาช่วยลูกไว้…”
“ช่วยเจ้า…”  ท่านพ่อทวนคำ ฉันจึงพูดต่อ
“ใช่ช่วยข้า…จาก…เอ่อ...อ๋องน้อยสกุลจวี๋” น้ำเสียงฉันอึกอักอย่างเห็นได้ชัด ส่วนท่านพ่อเมื่อได้ยินชื่อสกุลจวี๋ถึงกับโกรธจนหน้าแดง กุมมือทั้งสองของตัวเองแน่นจนฉันรู้สึกกลัว
“ผิงเฟย! พ่อเคยบอกเจ้ากี่รอบแล้วว่าห้ามไปเย็บปักที่เรือนนั่น!” ท่านพ่อจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันไว้แล้วเขย่าจนตัวเอนไปมา ใบหน้าดูหวาดกลัวอย่างหนักสายตาสำรวจเนื้อตัวฉันราวกับร่างนี้จะแตกสลายได้
“ท่านพ่อ…ข้าขอโทษ” ฉันพูดเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบก้มหน้าสำนึกผิด “แต่วันนี้ข้าได้มายี่สิบตำลึง” ฉันเงยหน้ามองท่านพ่อ ฉีกยิ้มร่าพูดเสียงออดอ้อน “ข้าต้องการเงินนั้นมารักษาท่านแม่ ท่านพ่ออย่าห่วงข้าเลย ข้าไม่ได้ถูกทำร้าย ชายแปลกหน้าผู้นั้นช่วยข้าไว้ ท่านรู้ดีว่าเงินแค่นี้ยังไม่พอรักษาท่านแม่เสียด้วยซ้ำ” 
ท่านพ่อเริ่มใจอ่อนลง มือที่กุมไหล่ไว้คลายออกช้าๆอย่างหมดกังวลใบหน้าอิดโรยดูอ่อนแรงเข้ามาแทนที่
“ผิงเฟย…” เสียงอ่อนโยนที่แหบพร่าของท่านแม่ดังขึ้น นางจับบานประตูหน้าห้องไว้และค่อยๆทรุดลง ท่านพ่อรีบวิ่งไปประคองนางอย่างห่วงใยและอุ้มมานอนบนเตียง
“ท่านแม่…ท่านแม่!” ฉันเรียกชื่อนางซ้ำๆอย่างร้อนรน ส่วนท่านพ่อได้แต่กุมมือนางไว้ อีกมือลูบผมนางอย่างรักใคร่ นางได้แต่ส่งสายตาที่อ่อนล้ามาให้เท่านั้น แต่ลึกๆแล้วในดวงตากลับมีคำว่าขอบคุณและขอโทษอย่างเต็มหัวใจ ท่านพ่อจึงพูดออกมาทันที
“เจ้าอย่าได้กังวลเลย…หยงอี้” ท่านแม่พยักหน้าเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน นางผู้ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามแห่งแคว้นฉี หญิงสาวผู้มีผมยาวสยายงดงามรับกับใบหน้ารูปไข่อย่างเหมาะสม ผมดำขลิบตัดกับผิวพรรรณที่ขาวนวลละเอียด ริมฝีปากคู่สวยที่ดูเอิบอิ่มและสีแก้มอมชมพู บัดนี้กลับขาวซีดจนฉันตกใจ ฉันเอาแต่ซุกหน้าใต้ฝ่ามือของนาง ก้มหน้านิ่งบนมือทั้งสองข้างที่กุมไว้แน่นของตน รู้สึกเกลียดความจนของตัวเองจับใจ เกลียดที่ไม่สามารถรักษาท่านได้และฉันคิดว่าท่านพ่อคงรู้สึกไม่ต่างจากฉันนัก สีหน้าที่ไม่เคยแสดงความกังวลต่อหน้าท่านแม่ ต้องคิดโทษตัวเองอยู่ภายในใจเป็นแน่
“ถ้าข้า…ถ้าข้า” ฉันพูดเสียงสั่น ท่านแม่ได้แต่ลูบหัวฉันปลอบประโลม ตอนนั้นเองที่น้ำตาฉันเริ่มไหลออกมาช้าๆ ฉันเก็บเสียงเงียบไม่อยากอ่อนแอไปมากกว่านี้
พรวด!! 
เสียงไอดังขึ้นจึงเงยหน้ามอง ของเหลวสีแดงสดไหลออกจากปากนาง ท่านพ่อรีบนั่งประคองนางไว้ และเรียกชื่อนางไม่หยุด ตบหน้าเบาๆแต่ท่านแม่ได้หมดสติไปแล้ว! ฉันรีบหยิบตะเกียงและเสื้อนอกสีน้ำเงินออกมาสวมอย่างรีบเร่ง แม่ข้าจะตายไม่ได้! ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
“ข้าจะไปตามหมอ!” ฉันพูดอย่างร้อนรน มองใบหน้านางแวบหนึ่งก่อนจะรีบวิ่งออกไป ไม่เป็นไร...เงินยี่สิบตำลึงนี้คงพอจะรักษานางได้ภายในวันนี้ ฉันนึกปลอบใจตัวเอง
อากาศข้างนอกเริ่มหนาวเย็น ฟ้าสีดำสนิทแต่ฉันไม่สน รีบพาขาตัวเองออกวิ่งอย่างรีบร้อน ระหว่างทางไปจวนหมอใหญ่ ต้องผ่านจวนของสกุลจวี๋ ซึ่งตอนนี้มีชายสองคนที่พยายามจับตัวฉันเมื่อยามเว่ย* เฝ้าอยู่แต่ฉันไม่สนรีบคลุมเสื้อปิดหน้าจนมิดชิด เดินเร่งฝีเท้าอย่างร้อนรนแต่ไม่แสดงความตระหนกออกมา เหลือบมองหน้าเจ้าสองคนนั้น ดูเหมือนพวกนั้นจำฉันไม่ได้เพราะผ้าที่คลุมปิดใบหน้า เมื่อพ้นจึงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก คิดว่าจะโดนจับได้เสียแล้ว... แต่เมื่อหันหน้ามาเพื่อเดินต่อกลับมีมือหนึ่งคว้าข้อมือฉันไว้ ดวงตาฉันเบิกโพลงอย่างตกใจ จวี๋จวินฉี! เขามาขวางหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่!? หรือเขาเพิ่งกลับเข้าจวน! อะไรจะซวยขนาดนี้ นานๆทีเขาจะกลับเร็วให้ตายสิ!
ฉันกัดฟันกรอดๆ แต่หมอนั่นกลับชูข้อมือฉันไว้ตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันที่ผุดขึ้นมุมปาก ฉันได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างเคียดแค้น ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอ๊ย! จงใจยั่วโมโหกันชัดๆกำลังจะบอกสินะว่าฉันมันแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก็แค่ผู้หญิงเท่านั้น!!
“ดูเหมือนชะตาเราจะเข้ากันได้ดีนักแม่นางวัง” เขายกมืออีกข้างมาช้อนคางฉันไว้อย่างรวดเร็ว
ฉันตบหน้าเขาดัง “เพี้ยะ!” ก้าวขาถอยหลังทันทีด้วยความตกใจ
“ชะตาข้าไม่เคยเข้ากันกับเจ้า! จำไว้!” ฉันแผดเสียงลั่น แต่เขากลับยิ้มออกมาราวกับหยอกล้ออยู่กับสัตว์เลี้ยง ใบหน้าที่ดูกึ่งหญิงกึ่งชายนั่นกำลังยิ้มกวนโมโหฉัน วันนี้เขาคงไปทำอะไรในวังสักอย่างไม่ใช่หอคณิกาแน่ เพราะชุดที่เขาใส่ดูเรียบง่ายแต่หรูหรา ผมที่เคยมัดหลวมๆถูกรวบขึ้นไปเรียบร้อยรับกับกว้านหมวกตามยศตำแหน่ง ถ้าตัดนิสัยที่เป็นอยู่ได้ของจวินฉี ฉันถือว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง ผมดำยาวคลอเคลียรับใบหน้าคม คิ้วเข้มดกจนฉันที่เป็นผู้หญิงยังอาย ดวงตาดำเรียวแหลมคู่สวยจับจ้องมาที่ฉันราวกับทะลุเสื้อได้จนฉันเผลอหน้าแดงออกมา จมูกที่โด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางสวย ฉันเผลอมองหน้าเขาอยู่นานจนเขาเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้ามองหน้าข้าทำไมรึ? หรือว่าเจ้าเกิดชอบข้าขึ้นมา เลยมาหาข้าถึงที่นี่” เขายักคิ้วอีกข้างอย่างเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากยกยิ้มทะนงตัว
“ใครชอบเจ้ากันห๋า!!” ฉันสบถในใจ ถึงหน้าจะหล่อแต่นิสัยเสียแบบนี้ใครจะชอบกัน นึกพ่นคำด่าอย่างโมโห ยกมือที่ถูกจับสะบัดอย่างสุดแรงลงข้างตัวทำให้มือเขาหลุดออก เขามือค้างงันกลางอากาศฉันจึงรีบวิ่งหนีออกมา ชายสองคนที่อยู่หน้าประตูเริ่มมองหน้ากันอย่างรู้งานและวิ่งมาทางฉันแต่จวินฉี กลับยกมือขึ้นห้าม
“คราวนี้ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าหนีไปง่ายๆอีกแล้วผิงเฟย…” เสียงนุ่มลึกและอ่อนโยนผิดกับนิสัยดังผ่านสายลมมา เขาเดินช้าๆมาทางฉันแต่แค่เดินช้าๆเนี่ยนะ! ทำไมถึงตามฉันที่หอบแฮ่กๆแบบนี้ทันล่ะ? หรือว่าอ๋องน้อยที่ดูไม่ได้เรื่องคนนี้จะมีวรยุทธ์! ไม่นะ! ฉันเจอตอเข้าอย่างจังแล้วสิงานนี้! ไม่นานนักมือที่เคยถูกรวบไว้ก็ถูกยึดแน่นอีกครั้ง ให้ตายสิ!...เขาตามมาถึงตัวฉันจนได้ จวินฉีแบกตัวฉันขึ้นอย่างง่ายดายบนบ่าราวกับพาดผ้าผืนหนึ่ง ฉันทุบหลังเขาสุดแรงเพื่อระบายความอดสูครั้งนี้ ท่านแม่ฉันจะเป็นอย่างไรบ้างนางจะเป็นอะไรบ้าง? ดูเหมือนวันนี้ฟ้าจะกลั่นแกล้งฉันหนักไปแล้วนะ!
“ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า!...ข้าจะไปตามหมอใหญ่ ท่านแม่ข้ากำลังแย่!” ฉันโวยวายลั่นน้ำเสียงสั่นครือ หยดน้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆมือที่ทุบอยู่เริ่มหยุดนิ่ง ฉันท้อแล้วจริงๆไม่มีแรงจะสู้ใครอีกได้ จวินฉีหยุดฝีเท้าหน้าจวน คว้าหยกประจำตัวขึ้นและโยนให้ชายคนซ้ายที่ยืนข้างประตู
“รับคำสั่งข้า มอบหยกของข้าให้หมอหลวงไป่สือ นำทางไปเรือนสกุลวังเร็วที่สุด…” ฉันยันไหล่ขึ้นมองหน้าเขา สายตาขี้เล่นนั่นหายไปแล้วกลายเป็นแววตาจริงจังที่ฉันไม่เคยเห็น น้ำเสียงเรียบฟังดูมีอำนาจ ชายคนนั้นรีบควบม้าของจวินฉีที่เพิ่งกลับมาออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันมองหน้าเขาอย่างสงสัย เขาจะช่วยฉันจริงหรือหลอกฉันเล่นให้ตายใจ? แต่หยกนั้นเป็นของที่ให้ใครไม่ได้ง่ายๆซ้ำยังติดตัวตลอดเวลา ถึงความคิดฉันจะสับสนวุ่นวายแต่ฉันก็ไม่สนใจอีกเมื่อรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏออกมาให้ฉันเห็นอีกครั้ง
“ทีนี้เจ้าคงสบายใจแล้ว เรื่องค่ารักษาของแม่เจ้าข้าจัดการให้ได้ เพียงแต่เจ้าต้องย้ายมาอยู่ที่นี่พักหนึ่ง” เค้าแสยะยิ้มออกมาจิ้งจอกตัวนั้นกลับมาแล้ว!
“ข้าจะเชื่อใจท่านได้อย่างไร? ท่านมันจอมหลอกลวง เจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนและไม่น่าเชื่อถือแม้เพียงนิดเดียว!!” ฉันถือโอกาสด่าเขาในตัว อย่างไรเสียตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่นี้
“ถึงข้าจวี๋จวินฉีจะเป็นจอมหลอกลวง เจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนและไม่น่าเชื่อถือแม้เพียงนิดเดียวอย่างที่เจ้าบอก แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นแม่ยายข้าล้มตายต่อหน้าข้าหรอก”
“ใครเป็นแม่ยายเจ้ากัน เจ้าคนลวงโลก!” ฉันรีบสวนขึ้นทันที
“ข้ากำลังจะได้เป็นแล้วเมื่อเจ้าเป็นของข้าวันนี้…” น้ำเสียงเรียบๆนั่นฟังดูนิ่งสงบจนฉันกลัว ฉันทั้งทุบทั้งถีบเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจความเจ็บครั้งนี้ เดินย่างเท้าช้าๆอย่างสบายใจเพื่อเข้าจวน เหมือนคนที่จับกระต่ายป่าได้และกำลังจะหิ้วเข้าจวนไปเพื่อกินมัน ฉันตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้คำพูดที่ดูเชื่อถือไม่ได้ของเขาเป็นจริงถึงฉันจะต้องกลายเป็นหญิงไร้ค่าแต่หากท่านแม่ปลอดภัยและมีเงินรักษา ฉันคงต้องจำใจรับ
ฉับพลันที่คอของจวินฉีกลับมีแสงสีเงินวาบผ่านมาจ่อตรงคอเรียวขาวของเขา รูปร่างสูงเพรียวตรงหน้า เจ้าของดาบนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง นางไม่ละสายตาจากเขาเลยแม้แต่น้อย เสื้อคลุมสีดำคล้ายชายแปลกหน้าที่ฉันเจอวันนี้มันยาวคลุมร่างที่ดูสะโอดสะองนั่นจนมิด ผ้าคลุมปิดหน้าถูกพันขึ้นจนถึงจมูก จวี๋จวินฉีเปลี่ยนสายตาขี้เล่นมาเป็นมุ่งร้ายคนตรงหน้าทันที เขากำลังประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างจริงจัง ส่วนฉันได้แต่ภาวนาว่าให้นางเป็นคนสนิทกับชายแปลกหน้าคนนั้น
“เจ้าคงไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรแม่นาง…” จวินฉียกยิ้มขึ้นไม่คลาดสายตาจากหญิงแปลกหน้าแม้แต่น้อย ฉับพลันมีชายชุดคลุมดำอีกสามคนเข้าประชิดตัวเขา ก่อนที่นางหยิบตราทองอะไรสักอย่างขึ้นมาตรงหน้าจวินฉี ทองนี่นา! นั้นมันทองแท้ๆ! ฉันจ้องมองทองไม่ละสายตาจนเผลอลืมสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า ช่างโลภเสียจริง…
“ข้าต้องการตัวนาง” หญิงแปลกหน้าเลื่อนสายตามาที่ฉันแทนก่อนจะรีบหันกลับไปมองศัตรู
“ข้าเข้าใจแล้ว…” จวี๋จวินฉีถึงกับยอมแพ้ง่ายๆ หึ! เขาคงรู้ว่าผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้มาช่วยฉันละสิ! และนายคงต่อกรกับขบวนการพิทักษ์พรหมจรรย์หญิงสาวไม่ได้หรอก!! ฉันตั้งชื่อเองเสร็จสรรพพลางมองกลุ่มคนชุดดำด้วยความปลาบปลื้ม ชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่ไหนกันนะ?…ท่าทางฉันจะแยกไม่ออกเลย ก็มันมืดนี่! 
ฉันถูกชายชุดดำคนหนึ่งอุ้มไว้แทนอย่างเบามือและพาเข้าไปในรถม้าคันหนึ่ง รถม้าที่สลักลายหรูหราที่ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงไม่มีวาสนาได้ขึ้น กระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้นพักใหญ่ก่อนจะเลิกม่านขึ้นเพื่อแอบมองจวินฉี นายโดนแน่! หึหึ!
“เมื่อเสร็จธุระแล้วข้าหวังว่าจะพาตัวนางกลับมาให้ข้า” จวินฉีเดินฝ่าวงล้อมชายชุดดำเข้าจวนตัวเอง อะไรนะ?! หมอนี้ยังจะพูดแบบนั้นในสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นรองอีก เหอะ! ฉันไม่มีวันมาเจอเขาเป็นครั้งที่สามสี่ห้าแน่ๆ
หญิงแปลกหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันตามหลังจวินฉีไปว่า
“เจ้าไม่มีวันแตะต้องนางได้อีกอ๋องน้อยจวี๋!” คำพูดนั้นดูเท่มาก! ฉันอยากเก่งแบบนั้นบ้างจัง แอบตบมือเบาเปาะแปะอยู่ในรถม้า หญิงแปลกหน้าค่อยๆก้าวขึ้นรถตามมา ส่วนชายสามคนนั้นยืนจ่อดาบคุมเชิงอยู่หลังนาง จนเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงเก็บดาบเข้าที่
เมื่อเสียงรถม้าเริ่มเคลื่อนที่ออกห่างจวนสกุลจวี๋ หญิงแปลกหน้าจึงดึงผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าอ่อนหวานดูผิดกับท่าทางเมื่อครู่ นางคงต้องการถามทางกลับจวนฉันสินะ? ฉันกำลังจะเอ่ยปากขึ้นแต่นางกลับยกมือคำนับฉันอย่างนอบน้อมก่อนเอ่ยขึ้นมา
“องค์หญิงเพคะฮองเฮาทรงกริ้วมาก”
“อะไรนะ!” ฉันตะโกนลั่นนางเรียกฉันว่าอะไรนะ? ฟังไม่ผิดใช่ไหม? องค์หญิง...ใครกัน? ฉันนะหรอ? ต้องมีการจับผิดคนแน่!
“หม่อมฉันขอทูลว่าฮองเฮาทรงกริ้วมากเพคะ…องค์หญิงทรงเตรียมแก้ไขสถานการณ์นี้ระหว่างทางกลับวังเถิด…” 
ไปกันใหญ่แล้ว...นี่นางกำลังจะไปไหน? วังหลวงนะหรอ?…ฉันอยากกลับจวนตัวเองไม่ใช่วังหลวงที่สำคัญฉันก็ไม่ใช่องค์หญิงด้วย!
“ข้าไม่ใช่องค์หญิง” ฉันพูดเสียงเรียบ
“ทรงทำแบบนี้ไปครั้งที่แล้ว หม่อมฉันไม่หลงกลหรอกนะเพคะ”
“ไม่เจ้าจับผิดคนแล้วจริงๆ” ฉันทำหน้าจริงจังและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูสุขุมขึ้น แต่นางกลับเอามือปิดปากและเริ่มหัวเราะออกมาราวกับฉันกำลังหลอกนางอยู่
“ขออภัย ฮ่าๆๆ…องค์หญิงทรงล้อเล่นได้เหมือนคราวที่แล้วเลยเพคะ” นางหัวเราะร่วน ปิดปากไอสองสามทีก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ทรงเตรียมคำพูดไว้เถิด…ใกล้ถึงวังหลวงแล้ว” นางพูดย้ำ
ฉันเลิกม่านขึ้นมองดูประตูวังที่เคยได้แค่มองอยู่ห่างๆ รถม้าเคลื่อนเข้าใกล้ประตูวังมากขึ้นทุกที หญิงแปลกหน้าเปิดประตูรถม้านำตราสีทองให้ทหารยาม ตราถูกคว้าไปในมือ ทหารรีบกุมมือคำนับพยักหน้าน้อยๆหลีกทางให้เข้าไปในวังหลวง รถม้าเคลื่อนที่อีกครั้งทำให้หัวใจฉันเต้นตึกตัก ฉันกำลังจะเข้าวังจริงๆหรอ?! รู้สึกตื่นเต้นไปหมด มองดูรอบข้างไม่ละสายตาบรรดาตำหนักสวยงามที่เคยเห็นในภาพวาด ตอนนี้กลับอยู่ตรงหน้าฉัน รอบข้างมีสวนดอกไม้นานาพรรณติดกับสระบัวที่ให้ความรู้สึกสบายและสงบใจ เสียงรถม้าเทียบลงที่ตำหนักใหญ่หลังหนึ่งซึ่งฉันคาดว่าคงเป็นฮองเฮาอย่างแน่นอน…หญิงแปลกหน้าก้มโค้งให้ฉัน ผายมือเพื่อให้เดินลงก่อนแล้วจึงเดินตามหลังมาติดๆเหมือนกลัวว่าฉันจะหนีหรือหายตัวได้ นางประชิดจนฉันอึดอัดอีกทั้งรอบข้างยังมีเหล่านางกำนัลคำนับให้เมื่อฉันเดินผ่าน พวกนางเปิดประตูตำหนักทันทีที่ฉันก้าวขาเข้าไป ในใจรู้สึกหวั่นเกรงไม่น้อย เพราะฉันไม่ใช่องค์หญิงตัวจริง
เบื้องหน้าคือสตรีนางหนึ่งที่ดูน่าเกรงขามแต่ขณะเดียวกันก็งดงามดังหงส์ นางปรายตามองมาทางฉัน สายตาแหลมคมจิกอยู่ที่ตัวฉันเหมือนทำอะไรผิดอะไรบางอย่างร้ายแรง จากนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ตัวที่เริ่มสั่นของฉัน…ภายใต้ชุดสีทองปักลายหงส์ยาวเลื้อยพื้นชุดนี้ขับให้นางดูมีอำนาจแผ่รอบตัวจนฉันแทบไม่หายใจตอนนางจับคางฉันเชิดขึ้น คราวนี้ฉันคงตายแน่…เพราะฉันไม่รู้ว่าเจ้าของยศนี้ที่ถูกหญิงแปลกหน้ายัดมาให้ทำอะไรร้ายแรงไว้และเป็นศัตรูกับฮองเฮาหรือไม่…
“ฟู่ซิ่นจง…” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจเปรยขึ้นช้าๆ นางเดินกลับไปนั่งบนม้านั่งไม้ตัวยาวปูด้วยขนสัตว์นุ่มสีน้ำตาลเหลือบทอง นิ้วมือเรียวไล้ไปตามเก้าอี้ก่อนจะเคาะเหมือนใช้ความคิด ใบหน้าอันงดงามเม้มปากอย่างหนักแน่น
“เพคะฮองเฮา”
“เจ้าจับผิดคน…นั้นไม่ใช่องค์หญิง” นางกล่าวช้าๆแต่ทำเอาคนฟังยืนสั่นเป็นเจ้าเข้า ฟู่ซิ่นจงรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วเอาหัวโขกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหน้าผากปูดบวม ใบหน้าซีดขาว รู้สึกถึงความผิดที่ไม่น่าอภัยของตัวเอง
“หม่อมฉันสมควรตาย…หม่อนฉันสมควรตาย!”
“ใช่เจ้าสมควรตาย…” นางพูดเหมือนเห็นความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ!
ฮองเฮาลุกขึ้นอีกครั้งและตรงไปที่ฟู่ซิ่นจง
เพี้ยะ! 
รอยแดงช้ำที่แก้มเกิดขึ้น เลือดไหลออกเป็นทางยาวจากเล็บปลอมที่สวมบนนิ้วก้อยของฮองเฮา ฟู่ซิ่นจงยังคงคุกเข่านิ่งไม่ร้องไห้หรือขอชีวิตตัวเองจนฉันรู้สึกหนาวขึ้นมากับคำสั่งต่อไป
            “แต่เจ้าก็ยังทำได้ดี…” ฮองเฮาปรายตามองมาทางฉันทำเอาตัวเริ่มหนาวๆร้อนๆมาอีกคน
ฟู่ซิ่นจงเงยหน้าขึ้นแววตามีความสงสัยปนอยู่ ฉันเองก็สงสัยเช่นกัน ในเมื่อจับตัวไร้ประโยชน์เช่นฉันมาแล้วนางจะทำได้ดีได้อย่างไรกัน? แต่คำถามนั้นก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำไม่กล้าเอ่ยปากออกมา ฮองเฮาเดินมาทางฉันที่ยืนสั่นอยู่กับที่ นางจับใบหน้าฉันพิจารณาอย่างถ้วนถี่ สายตาคมจิกมองฉันทีละส่วนไล่ไปเรื่อยๆจนกว่านางจะพอใจ
“เหมือนมาก…ถ้าไม่นับตัวเจ้าที่สั่นเทาอยู่ตรงหน้าข้า…องค์หญิงไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ไม่เช่นนั้นจะกล้ายื่นข้อต่อรองกับข้ารึ? หึ!” นางสะบัดหน้าฉันไปทางหนึ่งก่อนจะมองมาที่ตัวเหมือนควบคุมเหยื่อที่ตนหาได้ไม่ให้รอดออกไป
“เจ้ารู้มากไปดังนั้นข้าจึงมีเงื่อนไขให้เจ้า…ยังไงเสียตอนนี้ชีวิตเจ้าเท่ากับตายแล้ว” ฉันมองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง…นี้นางคิดจะฆ่าฉันจริงๆด้วย แล้วฉันผิดอะไรเล่า! ที่ผิดคือฟู่ซิ่นจงที่จับฉันมาตังหาก!! ฉันอยากเถียงใจแทบขาดแต่ใจหนึ่งกลับกลัวดื้อๆจนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ได้แต่ยืนตัวเกร็งฟังนางต่อ
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องอยู่ในฐานะขององค์หญิงหมิงเหม่ยหลิง เจ้าผิดเองที่หน้าตาคล้ายนางไม่มีผิด หากเจ้าไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ข้าคงไม่อาจปล่อยเจ้าและสกุลเจ้าให้หายใจอยู่บนแผ่นดินนี้ได้” นางพูดชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงฟังดูเรียบง่ายแต่กลับบังคับคนฟังให้ยอมจำนนต่อกฎเกณฑ์ของตัวเอง แล้วไงละ? อย่างกับฉันมีสิทธิเลือก...ถ้าฉันไม่ยอมรับสกุลวังจะโดนฆ่าปิดปากทั้งหมด เท่ากับว่าฉันต้องยอมรับอย่างจำนนไม่ใช่รึไงกัน?!
“หม่อมฉัน...หม่อมฉันยอมรับข้อเสนอพระองค์…เพียงแต่” ฉันลังเลที่จะพูด
“เพียงแต่อะไร? หรือเจ้าอยากได้เงินทอง ข้ามีให้เจ้าได้” นางยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ดูแล้วเย็นยะเยือกจนฉันคิดว่าตัวเองถูกแช่แข็ง พยายามกลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ
“หม่อมฉันต้องการหมอหลวงและยามารักษาท่านแม่ เพราะหากท่านแม่ตายก็เท่ากับตัวหม่อมฉันที่ตายไปแล้วเช่นกัน!” วันนี้ดวงฉันคงตกต่ำถึงขีดสุด ฉันกล้าท้าทายอ๋องน้อยจวี๋จนตัวเองเกือบโดนขืนใจและยังกล้าท้าทายมารดาแห่งแผ่นดิน แต่ฉันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
“ข้าตกลง…หมอหลวงจะดูแลแม่เจ้าอย่างดีทุกวันจนกว่าข้าจะพบตัวองค์หญิง” เกิดความเงียบอยู่พักใหญ่จนนางเริ่มถามฉันอีกครั้ง
“เจ้าชื่ออะไร”
“หม่อมฉันชื่อวังผิงเฟยเพคะ” นางนิ่งเงียบทันทีที่ฉันพูดจบก่อนจะหัวเราะขึ้น เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“ฮ่าๆๆ…สกุลวังหรอกหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบุตรีคล้ายข้ายิ่งนัก...ฟู่ซิ่นจงเจ้าจงไปตามหมอหลวงเพื่อประจำที่จวนของนาง” นางออกคำสั่งอีกครั้ง ฟู่ซิ่นจงรับคำก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปช้าๆทั้งห้องจึงมีเพียงฉันกับฮองเฮาเท่านั้น
“เจ้าต้องได้รับการขัดตัวเสียใหม่ เจ็ดวันนี้เจ้าต้องเรียนรู้กฎพื้นฐานในวังหลวงรวมทั้งเก็บตัวในห้องของเจ้า ห้ามออกจากตำหนักเด็ดขาด ข้าจะสั่งกักบริเวณเจ้าที่แอบหนีออกนอกวังไป เจ้าเข้าใจหรือไม่?” นางพูดเสียงเย็นจนแทบเรียกได้ว่าเย็นชา แววตาดูโกรธตัวต้นเหตุไม่น้อย ก่อนจะทำคิ้วเลิกขึ้นเมื่อจับผิวพรรณที่แห้งหยาบของฉัน ดูท่าการขัดตัวครั้งนี้ของฉันจะเป็นไปอย่างยากลำบากพอดูเพราะผิวพรรณฉันนั้นถูกทำร้ายจากการโหมงานหนัก
“หม่อนฉัน…เข้าใจ…เพคะ” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก มองหน้านางที่เดินวนอยู่รอบตัวเหมือนหาข้อบกพร่องบนตัวฉัน
“เรื่องหนึ่งที่เจ้าห้ามลืม” นางหยุดลงตรงหน้าฉันก่อนจะพูดต่อ “ห้ามให้ใครในวังรู้ตัวตนเจ้าเด็ดขาด หากเจ้าพลาดข้อต่อรองนี้ถือเป็นสิ้นสุด เรื่องเรียนรู้ในวังเจ้าเองก็ต้องทำให้ได้ในเจ็ดวันนี้และต้องจำผู้คนในวังให้ได้ เรื่องนี้ข้าจะมอบให้ฟู่ซิ่นจงคอยดูแลเจ้า…”
“เพคะ”
“อีกเรื่อง…เจ้าต้องเรียกข้าว่าเสด็จแม่” นางดูลังเลที่จะพูดออกมาท่าทางลำบากใจเมื่อให้คนอื่นมาเรียกแทน แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ฉันจึงต้องเล่นไปตามบทบาทที่ควรทำ งานแสดงที่มีชีวิตตัวเองและคนในสกุลฉันเป็นเดิมพัน จังหวะนั้นเองที่ฟู่ซิ่นจงกลับมา ฮองเฮาเรียกเข้าไปสั่งการข้างๆ ฟู่ซิ่นพยักหน้าสองสามทีก่อนจะเรียกนางกำนัลด้านนอกเข้ามา
“พวกเจ้าเตรียมสำรับอาหารกับอ่างน้ำร้อน ข้าจะพาองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงกลับตำหนัก” นางพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดแล้วเดินมาประชิดตัวฉันอีกรอบ
“เชิญองค์หญิงเสด็จ” นางปรายมือไปที่ประตูแต่ฉันกลับหันหลังและคำนับลงน้อยๆ
“เสด็จแม่…หม่อมฉันทูลลา” ฉันพูดขึ้นฟู่ซิ่นจงหลุบตาลงเหมือนลืมเตือนสิ่งสำคัญ ฮองเฮามองมาที่ฉันด้วยสายตาชื่นชม ละครบทแรกของฉันเริ่มขึ้นแล้ว…
 
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
 
หากย่อหน้ารำคานตาสามารถอ่านได้อีกคลังของไรท์โดยการเสิจชื่อเรื่องนี้ลงกูเกิ้ล กดอ่านในเว็ปเด็กดีค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา