Decisive wars สู่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

7.2

เขียนโดย CyCloEclipse

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11.46 น.

  44 ตอน
  5 วิจารณ์
  42.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 กันยายน พ.ศ. 2556 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

35) เหตุผลที่จะยืนหยัดต่อสู้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หน้าผาที่ถล่มลงอย่างไร้ซึ่งลางบอกเหตุล่วงหน้าซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากอุบัติภัยธรรมชาติหรือการทดลองอาวุธมหาประลัยในการต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาดที่ฝักใฝ่เป็นฝ่ายเดียวกับผู้นำมาซึ่งความวิบัตินั้นได้ทำให้เทอร์รารอยด์ที่บังเอิญยืนอยู่บนหน้าผาแห่งนั้นพอดีเริ่มรู้สึกใจเสียขึ้นมาทีละน้อย ในเมื่อสิ่งที่ทำให้วิบัติการณ์ที่สั่นคลอนถึงสภาพแวดล้อมทางผืนป่าใต้หน้าผาแห่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เป็นคนอื่นไกลเลยนอกเหนือไปจาก...



"ทำไมแกถึงได้รักษาตัวเร็วขนาดนี้...โซลเนล!! นี่มันผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ!? หรือว่าแกจะ..."



ฮิโรมิที่รู้สึกประหลาดใจระคนประทับใจกับมหัศจรรย์แห่งสิ่งมีชีวิตที่เหล่ามนุษย์ไม่เคยพบมาก่อนบนโลกแห่งนี้นับตั้งแต่ที่มีการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์เป็นต้นมาราวกับว่าเหล่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของพวกมนุษย์ที่ต้องการควานหาตัวมาหากว่าได้เห็นความน่าเกรงขามมาครั้งหนึ่งจนต้องหลบซ่อนตัวตลอดมา แต่ถึงอย่างนั้นฮิโรมิก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าทำไมโซลเนลที่ได้รับความอ่อนล้าอย่างสุดขีดจนแทบจะหายใจไม่ไหวถึงได้ฟื้นฟูตัวได้เร็วถึงเพียงนี้


และต่อให้พลังของมันจะฟื้นกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ มันก็ไม่น่าจะเดินทางจากแคนาดามายังเกาะร้างใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่ห่างกันเกือบ5,000กิโลเมตรได้ภายในเวลาเพียงห้าชั่วโมงนับจากที่คลาดสายตาไปได้แน่ๆ หรือว่ามันจะ..!?



"หรือว่าแกจะ...ไม่ได้มีแค่ตัวเดียวในโลก!!!"




ชั่วพริบตาที่ฮิโรมิได้รับคำตอบขึ้นมาจากความคิดของเธอนั้น ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านด้วยความหนาวเย็นที่จู่โจมมายังเส้นประสาททั่วร่างที่ถูกปกคลุมด้วยชุดต่อสู้ของseiriระดับที่สองซึ่งปกปิดร่างกายเพียงตำแหน่งสำคัญที่เหล่าผุ้ชายจะหลงเสน่ห์ผู้หญิงทันทีเมื่อได้เห็นเท่านั้นจนทั่วทั้งตัว บางทีโซลเนลและอัลเกียที่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้อาจจะมีญาติสนิทอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้


ในที่ไหนสักที่ซึ่งพวกมนุษย์ไม่มีวันหาเจอ!?






            "ฮิโรมิ!! มิรัน!!!"



ในเมื่อใช้ความคิดที่ไม่ค่อยแล่นสักเท่าไหร่ไปก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นไปกว่าความสูญเสียของเรือเดินทะเลที่อาจหลงมาติดเกาะและถูกโซลเนลจับกินตามตำนานของ"สคริวล่าและวังน้ำวนคาริบดิส" ทำให้ฮิโรมิตัดสินใจเข้าต่อสู้กับโซลเนลให้จบโดยเร็วที่สุดเพื่อพามิรันที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บตกค้างจากการโจมตีสวนกับฮานามิที่แข็งแกร่งกว่ามากส่งโรงพยาบาลอื่นที่ไม่มีฮิซาชิอยู่โดยเร็วที่สุด แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำแบบนั้น...ตัวต้นปัญหาก็ตามพวกเธอทั้งสองคนมาทันเสียก่อน



"ฮิซาชิ... ฮิซาชิงั้นเหรอ!?"


ทันทีที่ฮิโรมิหันไปตามเสียงเรียกของเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่น่าจะมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้นั้น เธอก็เห็นเงาลางๆของใครคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าตรงมายังจุดที่เธอกำลังลอยอยู่ด้วยความเร็วสูงกว่าเครื่องบินขับไล่ของหลายๆประเทศ และเพียงเวลาไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น...ฮิซาชิก็สามารถตามฮิโรมิได้ทันก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะสายเกินไป



"ฮิโรมิ..!! เกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงอยู่คนเดียว!? แล้วมิรันอยู่ไหน!!"

ฮิซาชิตะโกนถามที่อยู่ของมิรันอย่างสุดเสียงก่อนจะเงียบไปพักหนึ่งดพื่อฟังคำตอบที่ฮิโรมิกำลังจะตอบออกมาให้เขาได้รับฟัง และเพราะฮิซาชิในตอนนี้กำลังอยู่ในร่างโคโรน่าทำให้สามารถบินได้ด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิม ทำให้ฮิโรมิเริ่มคิดในใจว่าถ้าหากเธอให้ฮิซาชิพาตัวมิรันไปยังโรงพยาบาลที่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกที่ถึงฮิซาชิจะไม่อยู่ด้วยก็สามารถรับการรักษาฟรีได้ทันเวลาอย่างแน่นอน



"ขอโทษจริงๆนะ...แต่มิรันฝืนบินออกไปก่อนแล้วน่ะ ฉันก็พยายามห้ามแล้วนะแต่ก็ไม่ฟังเลย ถ้านายรีบตามไปตอนนี้ก็น่าจะตามทันนะ!"



"งั้นเหรอ..!! ขอบใจมากนะ...รอฉันก่อนนะ มิรัน!!!"









                                        ฟู่มมม....!!!!!



เศษดินพวยพุ่งขึ้นจากพื้นที่เงียบสงบอีกครั้งหนึ่งราวกับเป็นเพียงการจุดดอกไม้ไฟที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดินเท่านั้น ในครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาจากหลุมลึกที่ถูกแรงดันอัดขึ้นมาจากภายในนั้นไม่ใช่สิ่งที่ฮิซาชิไม่รู้จักเลย หากแต่เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของอดีตคู่ต่อสู้ของทั้งฮิซาชิและมิรันเมื่อครั้งอยู่ที่ญี่ปุ่นซึ่งมีญาติอยู่ในแคนาดาเช่นเดียวกัน และหากจะเปรียบเทียบรูปร่างของสัตว์ประหลาดทั้งสองตัวนั้นว่ามีจุดที่ต่างออกไปตรงไหนก็คงจะเป็น "หนังเกราะสีน้ำตาลคล้ำ"ที่ต่างไปจากสายพันธุ์ที่อยู่ญี่ปุ่นล่ะมั้ง!?



"ต่อจากเจ้าบ้าที่ผู้คนไม่อยากจำลักษณะก็เป็นแกงั้นเหรอ... ฉันน่ะต่างจากฮิซาชิที่ใจอ่อนกับสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่พวกผู้นำมาซึ่งความวิบัตินะ อัลเกีย!!"



ท่ามกลางความอลหม่านที่บังเกิดขึ้นในโรงพยาบาลที่เกิดการแตกตื่นของเหล่าคนไข้และนายแพทย์ที่ควรจะเป็นผู้พาพวกเขาอพยพไปยังสถานที่ปลอดภัยนั้น มีผู้ป่วยหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพเกินกว่าที่จะหนีออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยตัวเองได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจนดังไปทั่วทางเดินภายในอาคารผู้ป่วยในจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความโกลาหล และเพราะความหนวกหูนี้เองที่ทำให้ฮานามิทนฟังไม่ได้จนเดินออกจากห้องผู้ป่วยออกจากประตูไปดูสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนั้นด้วยตัวเอง...


ตรงบริเวณทางเดินนั้น ผู้คนที่ยังพอเคลื่อนย้ายตัวเองได้ก็รีบอาศัยความได้เปรียบนั้นเอาตัวรอดไปโดยทิ้งให้คนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งที่ขาไม่สามารถรับน้ำหนักตัวเองได้และแขนได้รับบาดเจ็บจนขยับไม่ได้ส่งเสียงร้องขอความเมตตาอยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างน่าสงสาร ซึ่งฮานามินั้นก็เลือกที่จะไม่สนใจเสียงร้องนั้นและเดินกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อกระโดดออกจากหน้าต่างไปต่อสู้กับอัลเกีย จนกระทั่งเสียงๆหนึ่งได้ลอยเข้ามากระทบใบหูของเธอ...




"คุณแม่คะ... พวกพี่seiriจะมาช่วยพวกเราใช่ไหมคะ!?"



เสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากห้องพักผู้ป่วยเป็นเสียงที่เบาพอที่ประสาทหูที่ดีมากของฮานามิจะพอได้ยินเป็นเสียงดังซ้ำไปซ้ำมาราวกับแม่จ๋าตามตำนานเอ็กซ์โซซิสจนฮานามิเริ่มไม่กล้าที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น แต่เพราะเสียงนั้นดังซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแทนที่จะเป็นความกลัวนั้นเองที่ทำให้เธอต้องทำใจเปิดเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้


และเมื่อเด็กผู้หญิงอายุราวๆคนที่เพิ่งเข้าเรียนชั้นประถมหมาดๆได้เห็นฮานามิที่เปิดประตูเข้าไปก็มองเธอด้วยสายตาเหมือนกับพยายามทำความรู้จัก ในระหว่างนั้นเองที่ฮานามิสังเกตเห็นว่าข้างๆเตียงของเด็กคนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เหมือนกับเป็นแม่ของเธอกไลังหมดสติไปเพราะถูกหลอดไปหล่นใส่ศีรษะตอนแผ่นดินไหวจนเลือดไหลอาบ แต่ทั้งอย่างนั้นเด็กสาวก็ยังควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้พร้อมทั้งยิงคำถามใส่ฮานามิ



"พี่สาวคะ พี่คิดว่าพวกพี่ๆseiriจะมาช่วยพวกเราหรือเปล่าคะ!? พวกพี่สาวในโทรทัศน์น่ะค่ะ..."



เด็กสาวพูดพลางชี้ไปยังโทรทัศน์ที่ยังใช้ได้จากการที่วางเอาไว้ถูกจุดพอดี ในนั้นฮานามิเห็นการต่อสู้ของseiriคนหนึ่งที่ถูกเอามาฉายซ้ำในรายการพิเศษที่จะออกอากาศโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ซึ่งสาวน้อยที่กำลังรวบรวมพลังเพื่อจัดการคู่ต่อสู้และฉากที่ถูกถ่ายเอาไว้นั้นทำให้ฮานามิรู้ในทันทีว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างมิรันกับสัตว์ประหลาดอัลเกียที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นเอง...



"ทำไมล่ะ..."


ฮานามิเผลอหลุดคำพูดคำหนึ่งออกมาจนเป็นที่สงสัยของเด็กสาวที่กำลังยื่นมือมากุมฝ่ามือของเธอเอาไว้อย่างอบอุ่นจนฮานามิน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ



"ทำไม...ทั้งๆที่เธอสู้เจ้านั่นไม่ไหวแท้ๆ ทำไมเธอถึงต้องยืนหยัดสู้ด้วยล่ะ!?"



ฮานามิยกมือข้างที่เด็กสาวกุมเอาไว้ขึ้นซับน้ำตาที่กำลังจะไหลลงมาหากเก็บเอาไว้นานกว่านี้ให้หยุดไหลพร้อมกับก้มลงมาลูบศีรษะของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยนอย่างที่ฮานามิไม่เคยทำมาก่อน ทั้งๆที่เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานฮานามินั้นรู้จักเพียงการใช้กำลังที่มีในการกำจัดเสี้ยนหนามต่อความสงบสุขของโลกเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ฮานามิคิดอยู่นั้นถูกส่งออกมาให้เด็กสาวรับรู้ผ่านทางดวงตา



"พวกseiriถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการต่อสู้เพียงอย่างเดียวโดยมีการปรับให้มีอารมณ์ต่างออกไปจากเครื่องจักรสังหาร แต่พวกเธอกลับไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า'รัก'ได้อย่างครบถ้วน มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเธอสามารถรู้จักกับความรักได้มากกว่านี้นะ"


ฮานามิลูบศีรษะของเด็กสาวที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนที่ได้รับการผ่าตัดจนอาการดีขึ้นมากอย่างอ่อนโยนเพื่อให้เธอสนใจที่สัมผัสจากฝ่ามือมากกว่าน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของฮานามิ แต่นั่นก็ล้มเหลวเพราะฮานามิยังไม่รู้จักมนุษย์ดีพอนั่นเอง...



"พวกเขาต้องมาแน่... อีกเดี๋ยวพวกพี่ๆseiriจะต้องมาช่วยพวกเราแน่ๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอควรจะทำคือกดเรียกพยาบาลมาที่ห้องนี้เพื่อพาเธอและคนสำคัญของเธอไปที่ปลอดภัยก่อนนะ เพราะไม่มีแม่ที่ไหนหรอกที่อยากจะเห็นลูกของตัวเองเป็นอะไรไปต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก้ตาม และขณะเดียวกันก็ไม่มีลูกที่ไหนหรอกที่จะทนเห็นแม่ของตัวเองเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาตัวเอง... ต่อให้อธิบายเหตุผลร้อยแปดยังไงก็ไม่มีใครอยากจะเข้าใจหรอก"



เด็กสาวรู้สึกสับสนกับคำพูดที่ฮานามิพูดออกมาเมื่อครู่นี้ แต่แล้วฮานามิก็ชิงสิทธิ์ในการพูดออกมาก่อนจนเธอไม่สามารถถามย้ำได้



"แต่ว่านะ...เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกseiriต่อสู้เพื่อปกป้องมนุษย์ที่อ่อนแออย่างเราๆก็เพราะ สำหรับพวกเขาแล้ว...เราก็ถือเป็นคนสำคัญเช่นกันยังไงล่ะ!"





ที่หน้าต่างห้องพักผู้ป่วยของฮานามิซึ่งแตกออกก่อนหน้านี้นั้น ฮานามิได้ยืนรับลมอยู่นิ่งๆสักพักหนึ่งเพื่อใช้ความคิดทบทวนถึงเส้นทางที่เธอควรจะเลือกเดินไปจริงๆต่อจากนี้ไป ซึ่งในระหว่างนั้นเองตัวช่วยในการตัดสินใจของเธอก็ได้ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเธอเอง


'มิรันเลือกที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องทั้งโลกและมนุษย์... แล้วเธอมีเหตุผลที่จะต่อสู้ด้วยวิธีไหน!!'





"เหตุผลที่ฉันเดินไปในทางที่จะทำลายมนุษย์เพื่อปกป้องโลกน่ะเหรอ...นอกจากเหตุผลที่ว่ามนุษย์เคยทำร้ายฉันมาก่อนแล้วมันยังจะมีเหตุผลอื่นๆอีกงั้นเหรอ!?"



ในขณะเดียวกับที่ฮานามิได้รับคำตอบยืนยันเส้นทางเดินของตัวเอง อัลเกียก็ถีบตัวยืนด้วยขาหลังพร้อมที่จะปล่อยลูกไฟที่มีพลังทำลายมหาศาลใส่สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างไม่ละเว้น แต่เมื่อลูกไฟนั้นพุ่งออกจากช่องท้องของมันตรงเข้าสู่โรงพยาบาลที่ยังมีผู้ป่วยตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากนั้นเอง ก็ได้มีม่านป้องกันสีน้ำเงินอ่อนถูกกางปกคลุมสถานที่สำคัญแห่งนั้นเอาไว้จนการโจมตีทั้งหมดไม่เป็นผลก่อนที่จะมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก่อร่างขึ้นมาจากม่านแสงเหล่านั้นกำลังตีลังกาหมุนตัวกลางอากาศก่อนจะลงสู่พื้นด้วยน้ำหนักตัวทั้งหมดจนเศษดินที่พื้นบริเวณเท้าของเธอกระเด็นขึ้นมาจนเลยศีรษะขึ้นไปก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างอิสระ



                                   ตึง...!!!!!...!!!! 





"เหตุผลที่ทำให้ฉันต่อสู้น่ะเหรอ... มันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!!"


ฮานามิในร่างปลดปล่อยพลังสูงสุดยืนเข้าประจันหน้ากับอัลเกียด้วยแววตาที่สื่อถึงความตั้งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเมื่อก่อนนี้ทั้งเวลาที่ฮานามิต่อสู้กับสัตว์ประหลาดหรือแม้กระทั่งในการต่อสู้กับมิรัน สายตาที่เธอมองไปยังคู่ต่อสู้นั้นเป็นเพียงแววตาที่แฝงไปด้วยความเหยียดหยามราวกับคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงมดแมลงเท่านั้น





"ก็เพราะโลกใบนี้...ทำให้ฉันได้ถือกำเนิดขึ้นมายังไงล่ะ!!!!"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา