ล็อกหัวใจไว้รักเธอ

8.0

เขียนโดย ไปรมาร์

วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.00 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,775 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557 17.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 3 เรื่องธรรมชาติที่ยากจะทำใจยอมรับ(100%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
** อย่าลืมกดไลค์ กดโหวต กดเม้นท์ เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะเจ้าคะ **
 
           สภาพอากาศในเดือนพฤษภาคมนั้นไม่เอื้ออำนวยให้คนหาเช้ากินค่ำสามารถหารายได้เสริมให้กับตัวเองได้เลย เสียงแตรรถผสมผสานกับเสียงฝนตกแรงๆ ทำให้เมืองหลวงดูวุ่นวายมากกว่าปกติในยามเย็น...
          ชายวัยกลางคนละสายตาจากสภาพรถติดด้านนอก หันกลับมาสนใจคู่สนทนาที่นั่งดื่มกาแฟร้อนกันอยู่ในร้านกาแฟสุดหรูใต้ตึกของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอย่าง ศิริวรพันธ์
          “นายอย่ากังวลไปเลยเพื่อนรัก” ไตรวิชเอ่ยขึ้น ชายวัยกลางคนยังคงสวมเสื้อกราวน์ของโรงพยาบาล ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นตามอายุที่มากขึ้นทุกวันนั้นไม่ได้ทำให้เค้าโครงความหล่อเหลาสมัยหนุ่มๆ จางหายไปเลย
          “นายจะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไงไตร... มะเร็งตับคร่าชีวิตคนมานักต่อนักในเวลาอันรวดเร็ว” ณรงค์เดชพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้ใบหน้ายังคงแย้มยิ้ม “นายคิดว่านานแค่ไหน นานแค่ไหนที่ฉันจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
          “.....” ไตรวิชเงียบไปเมื่อคำถามที่เพื่อนรักของเขาถามนั้นทำใจยากเหลือเกินที่จะเอื้อนเอ่ยคำตอบออกไป
          “สามถึงหกเดือน ใช่แล้ว” ณรงค์เดชตอบคำถามให้ตัวเองด้วยรอยยิ้มเศร้าหมอง “ถ้าวันหนึ่งต้องไปจริงๆ ก็คงจะไม่ห่วงไอ้เจ้ามาร์ชเท่าไหร่นัก แต่ที่ฉันห่วงก็คือยัยเมล”
          “นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ หนูเมลโตแล้ว อีกทั้งยังมีตามาร์ช มีฉันกับเตือน ไหนจะกลุ่มเพื่อนของแกอีก” ไตรวิชพูด
          “ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่หมดห่วง บางทีฉันคิดว่าฉันรู้แล้วว่าสิ่งสุดท้ายที่อยากทำก่อนตายคืออะไร” ณรงค์เดชเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ “ฉันอยากอุ้มหลาน แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเจ้ามะเร็งที่รักคงไม่รอให้ฉันได้อยู่มีวันนั้น แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็อยากจะให้ลูกมีคนดูแล คนที่จะดูแลอยู่เคียงข้างแกไปตลอดชีวิต”
          “หมายถึงคู่ชีวิตน่ะหรือ?” ไตรวิชเอ่ยถาม
          “ใช่ ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความพอใจ”
          “...แล้วใครกันล่ะที่นายเห็นว่าเหมาะสมและพอใจ”
          “มันเป็นความตั้งใจของฉันเมื่อนานมาแล้ว แต่... ไม่รู้ว่าคนหัวรั้นอย่างยัยเมลจะยอมรับเรื่องนี้หรือเปล่า”
          “เด็กสมัยใหม่มักไม่ชอบเมื่อถูกที่บ้านคลุมถุงชน” ไตรวิชพูด “แต่ฉันกับเตือนก็ไม่ได้รักกันมาก่อน หรือแม้แต่นายกับมาริษาเองก็เหมือนกัน... พวกเราก็ยังรักกันได้และอยู่กินกันมาจนเฒ่าจนแก่”
          “นายคิดเหมือนฉันใช่หรือเปล่าไตรวิชเพื่อนรัก” ณรงค์เดชคลี่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกสุขใจที่อีกไม่นานเขาจะได้ไปอยู่กับภรรยาสุดที่รักอย่างมาริษาที่บนสวรรค์โดยไม่ต้องมีห่วงอะไรบนโลกใบนี้อีก
          “...ก็เรามันเพื่อนกัน” ไตรวิชพูดด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นกัน
 
             ร่างบางรู้สึกตัวตื่นขึ้นในยามเย็นขณะที่ฟ้าฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงซึ่งกระหน่ำตกตั้งแต่เช้ายันเย็น ดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์มัลลิกาจึงไม่ต้องไปสอนที่มหาวิทยาลัย
          หลังจากที่กลับมาจากอเมริกาเมื่อสองเดือนก่อน หญิงสาวก็ติดต่อไปทางมหาวิทยาลัยที่เธอเคยเรียนก่อนจะไปต่างประเทศ เพื่อเข้าไปสอนที่คณะศิลปศาสตร์ภาควิชาภาษาอังกฤษกับบรรดาเพื่อนๆ ของเธอที่ทำงานอยู่ก่อนแล้วทั้ง 3 คน อีกทั้งมัลลิกายังสนิทกับอาจารย์หัวหน้าภาควิชาจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่เธอจะเข้าไปทำงานเป็นอาจารย์สอนระดับมหาวิทยาลัย และด้วยเกรดที่สวยงาม ใบปริญญาทั้งตรีและโทจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา บวกกับหน้าตาที่สวยงามไร้ที่ตินั้นล้วนแล้วแต่เป็นใบเบิกทางให้เธอได้เป็นอย่างดี
          ร่างบางจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะออกไปทานข้าวข้างนอก วันนี้วันหยุดของเธอหากแต่ผู้เป็นพี่ชายกับผู้เป็นพ่อกลับต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลเฉกเช่นทุกวัน จะได้ทานข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากันทีก็วันศุกร์และเสาร์ หญิงสาวจึงตั้งใจว่าจะออกไปซื้อกาแฟร้อนสักสองแก้วเข้าไปฝากที่โรงพยาบาลเสียหน่อย
          ในขณะที่มัลลิกาเดินลงมาจากบันไดนั้นร่างบางถึงกับชะงักฝีเท้าไปเมื่อเห็นว่ามีแขกนั่งอยู่ตรงห้องรับแขกรวมทั้งพี่ชายและพ่อของเธอด้วยทั้งที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์
          “นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี” ณรงค์เดชเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มในขณะที่มัลลิกาเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ ผู้เป็นพ่อตรงโซฟาตัวยาวที่ทำจากหนังแท้อย่างดี “เมล จำคุณลุงไตรกับป้าเตือนได้หรือเปล่าลูก”
          “...เอ่อ สวัสดีค่ะ” มัลลิกายกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม เธอจำได้ว่าคุณลุงหมอไตรวิชเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเธอและเป็นพ่อของเพื่อนสนิทพี่ชายเธออย่าง... ไอ้พี่หมอต้นด้วย เขาเป็นคนที่เธอจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตเพราะเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลน้อยข้อที่ทำให้เธอย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
          “ไม่ได้เจอกันเป็นปีๆ สวยขึ้นแล้วก็โตขึ้นเยอะเลยนะหนูเมล” เตือนจิตเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างใจดี
          “คุณแม่อย่าไปชมมากครับเดี๋ยวเหลิง” เมธัชเอ่ยขัดขึ้น มัลลิกาที่นั่งลงข้างผู้เป็นพ่อบนโซฟาจึงหันไปถลึงตาใส่พี่ชายเป็นการคาดโทษ
          “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันกับเตือนกลับก่อนนะ” ไตรวิชพูดพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มัลลิกาแอบสังเกตว่าเค้าโครงหน้าคุณหมอวัยกลางคนมีความหล่อเหลาเมื่อครั้งสมัยหนุ่มๆ อยู่มากทีเดียว ทำไมนะทำไม... ไอ้พี่หมอต้นลูกชายสุดที่รักของเขาถึงไม่ได้หน้าตาของพ่อกับแม่มาบ้าง แม่ของเขาก็ดูสวยสง่าไม่สร่างเลยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกันเมื่อเกือบๆ สองปีก่อน
          “ไว้ค่อยคุยกันอีกทีหนึ่งนะ” ณรงค์เดชพูดก่อนจะลุกขึ้นตามไปส่งเพื่อนสนิททั้งสองคนที่หน้าประตูบ้าน มัลลิกาเองก็เดินไปด้วยและยกมือไหว้ทั้งคู่อีกครั้ง
          “ขับรถดีๆ นะคะคุณลุง” มัลลิกาเอื้อนเอ่ยเรียกรอยยิ้มให้กับแขกทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี
          เมื่อรถเก๋งคันหรูวิ่งหายลับไปจากสายตา ผู้เป็นพ่อก็เอื้อมมือมาโอบไหล่ลูกสาวคนสวย บนใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของเขาเปล่งประกายไปด้วยความสุขบางอย่าง...
          “มีอะไรหรือเปล่าคะคุณพ่อ” มัลลิกาเอ่ยถามขึ้น “ทำไมวันนี้เลิกงานพร้อมกันเลยทั้งคู่ พี่มาร์ชวันนี้ไม่เข้าเวรเหรอ” หญิงสาวหันไปถามผู้เป็นพี่ชายที่ปลดเนกไทออกจากคอด้วยท่าทางสบายๆ เมื่อแขกกลับไปแล้ว
          “วันนี้เข้าเวร ที่นั่งอยู่นี่น่ะวิญญาณฉัน ไม่รู้หรือไงว่าพี่ชายแกแยกร่างได้” เมธัชพูดพลางเอนหลังพิงพนักโซฟาและเอื้อมมือไปหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ดูข่าวสารบ้านเมือง
          “ไอ้พี่มาร์ช!” มัลลิกาเอื้อมมือไปหยิบหมอนโยนใส่พี่ชายทันที ไม่เคยเลยสักวันที่เขาและเธอจะพูดคุยกันได้เหมือนพี่น้องปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเราสองคนก็เป็นพี่น้องที่รักกันมากนะ ยิ่งบ้านเราไม่มีแม่อยู่ด้วยตั้งแต่เด็กๆ พ่อกับพี่ก็ยิ่งรักและหวงและห่วงเธอมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
          “นี่ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นและทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับดึงร่างบางของลูกสาวให้นั่งลงข้างๆ ด้วย “มาร์ชเบาเสียงทีวีหน่อยลูก” ณรงค์เดชบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอบอุ่นของเขา ชายหนุ่มจึงยอมทำตามอย่างว่าง่ายเพราะรู้ว่าพ่อจะคุยเรื่องสำคัญ...
          “แล้วนี่ทานข้าวกันมาหรือยังคะ ในตู้เย็นมีผักกับเนื้อนะ” มัลลิกาบอก
          “เอาไว้ก่อนเถอะลูก พ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเมล” ณรงค์เดชพูด
          “เรื่องสำคัญอะไรคะ? มีผู้ใหญ่แวะมาที่บ้านแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นเหมือนละครหลังข่าวหรอกนะ แบบว่ามาคุยเรื่องจะให้ลูกชายกับลูกสาวแต่งงานกันอะไรเทือกนั้นน่ะ ฮาๆๆ เพราะยังไงเสียเมลก็ไม่มีวันแต่งงานกับไอ้พี่หมอต้นหน้าเห่ยนั่นแน่นอน” หญิงสาวพูดติดตลกไป เมธัชจึงหัวเราะขึ้นมาเสียงดังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจากปากน้องสาว
          “แกนี่ไม่รู้อะไรเสียแล้วยัยเมล ไอ้ต้นมันไม่เหมือนเดิมแล้วเว้ย มันฮอตจะตายตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา” เมธัชพูดยิ้มๆ “แล้วแกจะเสียใจที่ปฏิเสธความรักของมันเมื่อ 3 ปีก่อน”
          “ฮึ จ้างให้ก็ไม่สน มีผู้ชายอีกเป็นร้อยเป็นล้าน” มัลลิกาเป้ปากเป็นรูปสระอิ
          “ทำให้ได้อย่างปากว่าแล้วกันน้องเอ้ย ขี้คร้านจะตามไปอ่อยให้ได้ความรักจากมัน” เมธัชพูด
          “ดูปากสวยๆ ของเมลนะคะพี่มาร์ชขา ไม่ มี ทาง!” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดก่อนจะหันไปหาผู้เป็นพ่อ “ไหนคุณพ่อบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเมลคะ เรื่องอะไรเอ่ย? คงไม่ใช่เรื่องให้เมลเลิกไปสอนหนังสือที่มหา’ลัยนะ ไม่ยอมเด็ดขาด เพราะเด็กหนุ่มๆ ปีสองปีสามนี่ทำให้ป้าแก่ๆ คนนี้มีความสุขเหลือเกินเวลามีคลาส ฮาๆ” มัลลิกายังคงหัวเราะต่อไปอย่างอารมณ์ดี ทำให้ผู้เป็นพ่อยิ้มตามไปด้วย
          “ลูกสาวพ่อยังไม่แก่เสียหน่อย อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกเอง” ณรงค์เดชพูด
          “นี่ก็แก่มากแล้วครับคุณพ่อ เป็นคนอื่นเขาแต่งงานมีสามีไปแล้ว หรือไม่อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีแฟนเป็นตัวเป็นตน” เมธัชพูด
          “เงียบไปเลยพี่มาร์ช!” มัลลิกาหันไปว่าพี่ชาย
          “นี่ จะทะเลาะกันทำไมพี่น้องคู่นี้” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปรามขึ้นอีกครั้ง
          “ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่า คุยธุระเสร็จแล้วไปทำกับข้าวให้กินด้วยนะน้องหมู” เมธัชพูดแล้วยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาเดินลิ่วขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่าน้องสาวจะต้องกรีดร้องออกมาแน่นอนเมื่อเขาว่าเธออ้วนเป็นหมู... ทั้งที่ก็ไม่ได้อ้วนอะไรหรอก แค่รู้จุดอ่อนว่าผู้หญิงจะแสลงใจทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า อ้วน หมู ขาใหญ่จัง ผิวคล้ำ นมแบน ตูดบาน บลาๆ
          “.....” มัลลิกาก่นด่าผู้เป็นพี่ชายอย่างไร้เสียง และไม่วายชี้นิ้วตามหลังเขาไปด้วย เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้เป็นพ่อได้เป็นอย่างดี
          “เอาล่ะลูก มาคุยธุระของเราดีกว่านะ” ณรงค์เดชพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าลูกสาวมีสีหน้าบูดบึ้ง หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสวยความน่ารักในตัวเธอลดน้อยลงไปเลยในสายตาของผู้เป็นพ่อ
          ใบหน้าเรียวสวยได้รูปของมัลลิกาคล้ายคลึงกับแม่อย่างมาริษา... หากแต่เครื่องหน้ากลับคล้ายกับเขาผู้เป็นพ่อ นั่นอาจจะหมายถึงว่าถ้าหากเขาเกิดมาเป็นผู้หญิง เขาก็คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ณรงค์เดชคิดในใจ
          “ตอนนี้พ่อเองก็แก่ตัวลงมากแล้ว อาจจะอยู่กับหนูได้อีกไม่นาน” ณรงค์เดชพูด
          “คุณพ่อพูดแบบนี้อีกแล้ว” มัลลิกาเอ่ยขัดขึ้นทันที
          “ครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งนะลูก” ชายวัยกลางคนพูด
          “แล้วมันต่างยังไงล่ะคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามกลับพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือผู้เป็นพ่อเอาไว้ “คุณพ่อคะ ชีวิตของคนเราไม่แน่นอนหรอกนะคะเพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะคิดอะไรในด้านลบแล้วเป็นกังวลไปว่าอาจจะตายวันตายพรุ่ง วันนี้เราสองคน ไม่สิ สามกับพี่มาร์ชด้วย พวกเราทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่ดีและได้ตื่นมาทานข้าวเช้าด้วยกันทุกวัน แค่นี้มันก็...”
          “พ่อเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย” ณรงค์เดชพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่บนใบหน้ากลับแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
          “คุณพ่อล้อเล่นใช่ไหมคะ ติดนิสัยพี่มาร์ชมา...”
          “พ่อพูดจริง ไตรวิชตรวจพบเชื้อมะเร็ง... ในวันนี้ซึ่งสายเกินไปที่จะรักษาหรือเยียวยาอะไร” ณรงค์เดชพูดก่อนจะเอื้อมมือไปดึงลูกสาวเข้ามาโอบเอาไว้ มัลลิกานิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น...
          ถ้าหากพ่อของเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายจริงๆ ทำไมพี่มาร์ชถึงยังลั้ลลาอยู่ได้ ทำไมพี่ชายของเธอถึงไม่เคร่งเครียดอะไรเลย ทั้งที่เธอรู้สึกต่างไป... มัลลิการู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหล ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนว่าวันพรุ่งนี้จะเต็มไปด้วยสีเทา เหมือนฟ้าครึ้มฝนที่จะตกกระหนำลงมาตลอดเวลาไม่มีวันที่จะสว่างสดใสอีกแล้ว
          “เมลลูก...” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นและดันตัวลูกสาวที่กอดซบอกเขาอยู่ออกห่างเพื่อมองสบตากัน ความเงียบที่เกิดขึ้นหลายนาทีก่อนหน้านี้นั้นบ่งบอกเขาได้เป็นอย่างดีว่าลูกสาวสุดที่รัก... อาจจะยังทำใจรับไม่ได้กับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
          เมื่อเขาได้มองสบสายตาที่พร่ามัวไปด้วยหยดน้ำใสๆ ของลูกแล้วนั้นหัวใจของคนเป็นพ่อถึงกับอ่อนยวบลงในทันที ความอ่อนแอในใจที่เขาคิดเสมอมาว่าจะรับมือกับมันได้นั้นมลายหายไปในพริบตา ณรงค์เดชจึงดึงตัวมัลลิกาเข้ามากอดแน่นอีกครั้งด้วยความรักและเป็นห่วงสุดหัวใจ
Memo ::  ทุกคนจะได้เป็นความน่ารักของอิพี่มาร์ชในตอนต่อไป... อยากมีพี่ชายแบบนี้จริงๆ คืออยากได้ หนูอยากได้พี่ชายยยยยแบบเน้  คือพ่อที่น่ารักและเข้าใจเราหนูมีแล้วค่ะ ไม่มีก็แต่พี่ชายนี่แหละ ฮิๆๆ อยากด้ายยยยย
 
ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ  ขอบคุณค้าบบบบบ
ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเม้นท์ติดชมได้นะคะ 
ผลงานเรื่องอื่นๆ จิ้มตามลิงค์เลยจ้า
 
 
http://www.tunwalai.com/profile/5002
Ebook ออกมาเรียบร้อยแล้วนะคะ ^^ เข้าไปโหลดอ่านฉบับเต็มกันได้จ้า
คลิ๊กอ่านวิธีโหลด Ebook ::  http://www.hongsamut.com/readniyaidetail.php?NiyaiDetailID=87507&niyaiid=5653
โหลดนิยายเรื่อง ล็อกหัวใจไว้รักเธอ  คลิ๊ก
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา