ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  110.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

115)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
===============================================
 
 
 
     ...ค่ำวันเดียวกันนั้นเอง... ณ ตึก ๓ ชั้นที่ถูกสร้างขึ้นในลักษณะของโรงเตี๊ยมจีนที่ชั้นบนสุดเป็นโรงแรมที่พัก ในขณะที่ที่ชั้น ๑ และชั้นลอยของโรงเตี๊ยมเปิดเป็นบริการร้านอาหารจีนอันใหญ่โตโอ่อ่า และตั้งอยู่ในทำเลทองคือไม่ใกล้ไม่ไกลจากท่าเรือใหญ่ของพระนครมากนัก...
 
      " เอ้า! ไอ้ไกร ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่ เอ็งถึงได้ชวนข้ามานั่งกินเหล้าถึงที่นี่? "  สิงห์ มือสังหารระดับสูงแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ผู้เวลานี้กลายมาเป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้เต็มที่ เพราะหลังจากไกรหายไปในตอนเช้าโดยให้เหตุผลว่าไปงานราชการศึก เขาก็กลับมาในตอนเย็น และโดยที่ยังไม่ทันให้เขาได้ทักทาย ไกรก็กอดคอสิงห์พร้อมกับชวนมาดวดเหล้าต่อทั้งๆที่ยังไม่มืดเลยด้วยซ้ำทันที
 
      " หืม? แกมีปัญหางั้นเหรอ? "  ไกรที่เวลานี้ยกจอกเหล้ากระเบื้องขึ้นมาจิบช้าๆเหลือบมองไปที่สหายผู้เก่งกาจพร้อมกับถามกลับไปอย่างช้าๆ เพราะทั้งๆที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่สิงห์ก็ยังยินดีที่จะตามมาดวดเหล้าเป็นเพื่อนไกร แถมยังยินดีอย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย เพราะสิงห์ปฏิเสธที่จะใช้จอกเหล้าอย่างไกรหรือคนทั่วไป แต่ล่อชามข้าวมาแปลงกลายเป็นชามเหล้าแทน...แต่สำหรับไกรนี่ก็ถือว่าสิงห์เกรงใจกันแล้ว เพราะถ้าเขาเดาอย่างตราหน้าไว้ไม่ผิด นี่ถ้าหากไม่เกรงใจกันจริงๆ สิงห์คงจะทิ้งชามเหล้าและยกไหเหล้าขึ้นกระดกแทนไปแล้วแน่ๆ
 
      " ไอ้มีปัญหาน่ะไม่มีหรอก ตราบใดที่ข้ายังได้กินเหล้าชั้นดีเช่นนี้แบบเปล่าๆ ต่อให้เจ้าแก้ผ้ามานั่งกินด้วยข้าก็ไม่มีผัญหา เพียงแต่เจ้าดูแปลกๆไปเท่านั้น "  สิงห์ยกชามเหล้าขึ้นและกระดกเหล้าดีกรีแรงขนาดจุดไฟติดเข้าคออั่กๆราวกับดื่มน้ำเปล่า ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดต่อช้าๆ
 
      " ...ถ้าให้ข้าพูดตรงๆในฐานะสหาย ถึงจะเป็นพวกที่รนหาที่แต่เอ็งเป็นพวกขี้กลัวและรักชีวิตนะไกร ทุกครั้งที่เอ็งไปรนหาที่จนได้แผลมา เอ็งจะรีบทำให้แผลหายไปโดยพยายามทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด ทั้งทายาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้แผลโดนน้ำ รวมไปถึงไม่กินของแสลงทุกชนิด เพื่อให้ร่างกายเจ้าหายดีจนสามารถไปรนหาที่ใหม่ได้อีกรอบ "
 
      " เป็นการอธิบายที่กวนส้นได้โล่จริงๆ "  ไกรครางออกมาเบาๆ แต่สิงห์ไม่สนใจพร้อมกับพูดต่อ
 
      " แต่นี่อะไร้ ทั้งๆที่เจ้าพึ่งได้แผลฉกรรจ์มาแท้ๆ แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึงวันเจ้ากลับชวนข้ามาดวดเหล้าแล้ว และที่น่าโมโหที่สุดคือทั้งๆที่เจ้าเป็นคนชวนข้ามากินเหล้าเองแท้ๆ แต่ไอ้ท่าทีดื่มเหล้าราวกับแมวกินน้ำนั่นมันอะไรกันฟะ! "
 
      " จะเป็นห่วง จะสงสัย หรือจะรำคาญท่าทีการดื่มของข้าก็เอาซักอย่างสิฟะ "  ไกรหลับตาพร้อมกับใช้นิ้วนวดขมับของตัวเองช้าๆอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะครางออกมาเบาๆอีกครั้ง
 
      " ถ้าจะให้บอกตรงๆ ข้าไม่ได้อยากดื่มเหล้าหรอก เพียงแต่ข้าอยากจะทำอะไรที่ทำให้หัวโล่งไวๆเท่านั้น เพราะตอนนี้หัวข้ามีเรื่องให้คิดเยอะเหลือเกิน และข้าก็ชอบบรรยากาศโรงเตี๊ยมแบบนี้ด้วย "
 
      " ไม่เข้าใจว่ะ นี่เจ้าเริ่มต้นพูดอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะ? "
 
        เสียงครางของสิงห์ทำให้ไกรหัวเราะออกมาเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนที่เขาจะยกจอกเหล้าขึ้นจิบอีกครั้งพร้อมกับเสมองไปที่บรรยากาศโดยรอบของเขา...
 
     ...อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้น ว่าที่นี่คือโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทำเลทอง ทำให้ส่วนชั้นล่างและชั้นลอยที่มีสภาพเป็นร้านอาหารแห่งนี้เต็มไปด้วยเหล่านายสำเภาและพ่อค้าวาณิชย์จากทั้งนายสำเภาชาวสยามเอง นายสำเภาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ รวมไปถึงกัปปิตันชาวฝรั่งแขนลายที่มารวมตัวกัน แม้ว่าจะต่างคนต่างมาด้วยเหตุผลที่ต่างกันก็ตามที ทำให้รอบๆโต๊ะของไกรมีทั้งพ่อค้าชาวจีนที่เมาปลิ้นจนฟุบหลับไปคาโต๊ะเพราะฉลองจากการค้าขายที่ประสบความสำเร็จมากเกินไปหน่อย มีทั้งเหล่านายสำเภาที่ยกไหเหล้าขึ้นกระดกอั่กๆราวกับน้ำเปล่าเพื่อให้ลืมเลือนหนี้สินจากการขาดทุน ...มีแม้กระทั่งกลุ่มพ่อค้าที่นั่งพูดคุยเจรจาธุรกิจการค้ากันอย่างเคร่งเครียดโดยแทบไม่แตะต้องอาหารระดับเหลาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเลย และที่แน่นอนที่สุดคือทั้งๆที่ไกรและสิงห์นั่งอยู่กลางร้านแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครเสียเวลามาสนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย จนสิงห์ที่เหลือบมองไปรอบๆเหมือนกันอดถามขึ้นอีกครั้งไม่ได้
 
      " นี่ ตกลงเจ้าเป็นคนเด่งคนดังจริงๆรึเปล่าฟะ? ทั้งๆที่เวลานี้เจ้าเองก็ไม่ได้พรางหน้าอะไร แต่ทำไมไม่มีผู้ใดมาทักมาทายเจ้าเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าหลอกข้าเล่นว่าเจ้ามีชื่อเสียงหรอกนะ? "
 
      " บางครั้งปากเจ้านี่มันก็น่าทำให้เปลี่ยนสีจริงๆ "  ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับอธิบายข้อสงสัยของสิงห์เบาๆว่า 
 
      " ...ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามีชื่อน่ะ ข้าค่อนข้างมีชื่อในสายข้าราชการฝ่ายใน ไม่ได้มาทางสายพ่อค้าซะหน่อย พวกพ่อค้าไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลก ดีเสียอีกเพราะเวลานี้ข้าเองก็ไม่ต้องการจะให้มีใครมาวุ่นวายเวลานี้ด้วย ขืนมาวอแวมีหวังได้หัวเสียไปใหญ่แน่ๆ "
 
      " เหอะๆ แล้วตกลงเจ้าเข้าวังไปเจออะไรกันแน่? หรือว่าลอยชายเข้าวังจนโดนทัณฑ์เข้าเสียแล้ว? "
 
      " ลอยชายเข้าวัง? ...เฮ้อ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ไม่ใช่หรอก...เอาเถอะ ข้าเองก็สัญญาว่าจะไม่ปิดบังอะไรพวกเจ้าอยู่แล้ว เรื่องของเรื่องก็คือ--- "  
 
        ไกรยังไม่ทันได้เล่าอะไรออกมา เหล่าเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมที่มีลักษณะคล้ายกับ เสี่ยวเอ้อ ในหนังจีนกำลังภายในหลายๆเครื่องก็ค่อยๆทยอยกันเดินเข้ามาพร้อมกับถาดจานอาหารระดับเหลาอยู่เต็มสองมือ ด้วยปริมาณอาหารที่ถูกสั่งมาอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้ชั่วพริบตาเดียวทั้งอาหารจีนและอาหารไทยชั้นสูงก็ถูกวางไว้จนแทบล้นโต๊ะ...ขณะที่ไกรยังคงอ้าปากค้างอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก สิงห์ที่ไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อยค่อยๆหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบแฮมจีนที่ถูกแล่เป็นชิ้นบางๆขึ้นมากินแกล้มเหล้า นั่นทำให้ไกรเดาได้รางๆทันที
 
      " ไอ้สิงห์...รึว่า? "
 
      " อ้าว? ก็เจ้าบอกเจ้าจะเลี้ยง "  สิงห์พูดพร้อมกับทำตาแป๋วราวกับลูกอีกแร้งไม่มีผิด นั่นทำให้ไกรแยกเขี้ยววับทันที
 
      " ตูบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าเฟ้ย อย่ามาหัวหมอกะตูสิ! "
 
      " พูดอะไรอย่างนั้น ขืนกินเหล้าอย่างเดียวก็เมาเร็วตายชักน่ะสิ แล้วเจ้าก็อยากได้สหายปรับทุกข์ด้วยไม่ใช่รึอย่างไร...ขืนข้าเมาเร็วเจ้าก็แย่น่ะสิ นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะเนี่ย! "  สิงห์หันมาแยกเขี้ยวเถียงคอเป็นเอ็นด้วยเหตุผลข้างๆคูๆเต็มที่ ทำเอาไกรโคลงหัวดิกๆ ก่อนจะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆอย่างถอนฉิวทันที
 
      " เจ้านี่มัน...เออ! เอาเถอะ ถือว่าคราวนี้ข้าเสียรู้เจ้า "
 
      " ฮ่าๆๆๆ รีบยอมแพ้ก่อนเจ็บตัวไปมากกว่านี้ เจ้านี่มันฉลาดเสียจริงๆว่ะ ไกร "
 
      " หุบปากเลย ก่อนที่ข้าจะคิดได้ว่าข้าจะต้องโกรธเจ้า สิงห์ "
 
        หลังจากที่พวกเขานั่งกินกันไปได้เพียงครู่เดียว คุณท้าวพิเศษในหน่วยคเณศร์เสียงาอีก ๒ นาง ได้แก่คุณท้าวศกุนตลาและคุณท้าวอเทตยาก็เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ช้าๆ ถึงพวกเธอจะพรางตัวมาแล้วด้วยการใช้เสื้อผ้าที่ทึบหนาและใช้ผ้าคลุมใบหน้าไว้ แต่ถึงอย่างนั้นรูปร่างยั่วใจชายของหญิงสาวทั้งสองคนที่ไม่อาจปิดได้ด้วยชุดหนาๆก็ทำให้เหล่านายสำเภาขี้เมาหลายๆคนหันมามองตามจนคอแทบหัก 
 
        โดยที่ไม่สนใจสายตาโลมเลียของพ่อค้าวาณิชย์หลายชาติหลายภาษา หญิงสาวทั้งสองก็เดินมาร่วมโต๊ะด้วยอย่างถือวิสาสะและไม่รอไกรอนุญาตทันที ในขณะที่ไกรเองก็ไม่ได้คิดจะว่าอะไรอยู่แล้ว...เขาเพียงแค่ยืดคอขึ้นเพื่อมองหาคุณท้าวอีกคนที่ควรจะมาด้วย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่พบหน้าหญิงสาวคนสำคัญอย่างอนาสตาเซียอีกนั่นแหละ นั่นทำให้เขาถอนหายใจเฮือกอย่างผิดหวังโดยไม่พูดอะไรออกมา ในขณะที่อเทตยาที่เห็นอากัปกริยาของไกรถึงกับขมวดคิ้ววูบ แต่ชั่วพริบตาเดียวเธอก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบริสุทธ์พร้อมกับไขข้อข้องใจของไกรเบาๆราวกับอ่านใจได้ว่า
 
      " อนาสตาเซียมีภาระต้องตรวจเวรในเวลาย่ำค่ำพร้อมๆกับคุณท้าวศรีสัจจาน่ะเจ้าค่ะ ท่านไกร "  
 
        คำพูดและน้ำเสียงของหญิงสาวชาวมอญทำให้ไกรพึ่งรู้ว่าเขาทำเรื่องเสียมารยาทไป ชายหนุ่มจึงยิ้มแห้งๆพร้อมกับแก้ตัวเบาๆว่า
 
      " ข้าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นแหละ นึกว่าพวกเจ้าจะมาด้วยกันเท่านั้นเอง ขอโทษนะ "
 
      " คิกๆ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ "
 
        ศกุนตลาเหลือบมองมาที่ไกรเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังอดสงสัยในตัวของไกรที่สุภาพจนชวนให้สาวๆเข้าใจผิดเช่นนี้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังปากหนักจนไม่คิดจะพูดอะไรออกมา...มือสังหารสาวผู้เวลานี้กลายเป็นจ่าโขลนพิเศษทรุดลงนั่งข้างสิงห์พร้อมกับถือวิสาสะหยิบจอกชาที่คว่ำอยู่ขึ้นมาและรินเหล้าของสิงห์ขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย...ในขณะที่อเทตยาหันกลับไปหาเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมพร้อมกับสั่งป้านน้ำชามา แต่พอป้านน้ำชามาวางตรงหน้าเธอกลับยกป้านน้ำชามาวางตรงหน้าไกร ก่อนจะแย่งจอกเหล้าจากมือไกรมาเลยจนกระทั่งไกรถึงกับต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง
 
      " อ...อเทตยา? "
 
      " ถึงจะไม่ได้มาด้วย แต่อนาสตาเซียบอกกับข้าว่าท่านได้รับบาดเจ็บจากพวกมือสังหารที่พยายามลอบสังหารท่าน เลยฝากยาลูกกลอนนี่มาให้กินเพื่อสมานแผล และกำชับข้าให้ระวังไม่ให้ท่านกินของผิดสำแดงที่ทำให้แผลหายช้า เพราะฉะนั้นเหล้านี่ข้าขอก็แล้วกันนะเจ้าคะ "
 
      ' ขนาดตัวไม่มายังอุตส่าห์กวนโมโหได้อีกนะ ยัยนาสตี้ '  ไกรเกาหัวแกรกๆพร้อมกับอดเอ่ยถามขึ้นเบาๆว่า
 
      " แล้วยัยบ้าเลือดนั่นบอกหรือเปล่าว่าข้าไปได้แผลฉกรรจ์มาได้อย่างไร? "
 
      " เอ๋? "
 
      " เฮ้อ ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ชอบเดินไปไหนมาไหนทั้งๆที่ยังไม่หายดีเหมือนกัน เวลานี้ก็คงต้องกัดฟันทำตามคำสั่งหมอไปก่อนก็ได้ "  ไกรครางออกมาเบาๆอีกครั้งพลางยกจอกชาที่อเทตยารินส่งให้ขึ้นดื่มช้าๆ...ถึงแม้รสสัมผัสจะต่างจากเหล้าชั้นดีที่ลื่นคอ แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจชานี่นักอยู่ดี
 
      " มี...อะไรรึเปล่าเจ้าคะ? "  อเทตยาที่สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของไกรก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าหลังจากเรื่องคราวนั้น ไกรเองก็พยายามที่จะเลิกนิสัยปิดบังเรื่องต่างๆจนถึงช่วงสุดท้ายเสีย เพราะได้บทเรียนราคาแพงมาหลายครั้งแล้ว เขาจึงเล่าเรื่องของพระสนมเอกคนใหม่ที่ไม่ชอบมาพากลสุดๆให้ทั้งสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันฟังโดยไม่อำพรางใดๆทั้งสิ้น ซึ่งหลังจากที่เขาเล่าจบ นอกจากสิงห์ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตากระดกชามเหล้าต่อด้วยความเร็วที่ไม่ตกลงจากเดิมแล้ว ทั้งอเทตยาและศกุนตลาต่างก็มีสีหน้าเคร่งลงอย่างเห็นได้ชัดทันที
 
      " กลิ่นที่เจ้าได้ เจ้าได้กลิ่นจากพระสนมคนนั้นเลย หรือว่าจากนางกำนัลนางหนึ่งนางใดกันแน่? ไกร "  ศกุนตลาเป็นผู้เอ่ยปากถามเป็นคนแรก ในขณะที่ไกรขมวดคิ้วอย่างระลึกเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตอบอย่างมั่นใจว่า
 
      " ไม่ใช่จากเหล่านางกำนัล แต่เป็นกลิ่นที่มาจากนางสนมเอกคนนั้นแน่ๆ ข้ามั่นใจ "
 
      " อืม ข้าเองก็ไม่ได้อยู่ในสายแฝงตัวอย่างอุษาเสียด้วย แต่ว่า...อเทตยา... "  ศกุนตลาหันไปหาหญิงสาวชาวมอญ ซึ่งอเทตยาเองก็เหมือนจะรู้ถึงสิ่งที่เธอกำลังจะสื่อ เพราะมือฉมังธนูสาวพูดต่อประโยคจากอีกฝ่ายเรียบๆว่า
 
      " ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะระลึกนึกถึงนักหรอกนะ แต่ในฐานะอดีตอุปนิกขิตที่ต้องแฝงตัวเข้ามา การแฝงตัวในฐานะระดับสูงเช่นนั้นใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ไม่ควรทำต่างหากล่ะเจ้าค่ะ "
 
      " ไม่ควรทำ? "
 
      " ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะการอยู่ในฐานะระดับนั้น การกลบเกลื่อนและอำพรางร่องรอยจะทำได้ยากยิ่งกว่าคนทั่วไปซึ่งไม่ใคร่จะมีใครมาสนใจเท่าไหร่นัก ข้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจเลยว่านังนั่นมีความสามารถมากพอจะปลอมเป็นนางสนมคนใดคนนึง หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเลยก็ยังได้ แต่...จะทำให้มันลำบากเปล่าไปทำไมเมื่อนางแค่ปลอมเป็นนางกำนัลหรือจ่าโขลนธรรมดาๆก็สามารถแทรกซึมเข้าไปถึงเขตพระราชฐานชั้นในได้แล้วนี่สิ "
 
      " มีเหตุผล "  ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดจริงๆที่ตัดสินใจบอกทุกอย่างออกมาแบบนี้ เพราะอย่างไรเสียหลายหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วแน่ๆ
 
        มีเพียงสิงห์คนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา ซึ่งอันที่จริงไกรก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ด้วยซ้ำว่าไอ้บ้านี่มันฟังสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันด่าอะไร สิงห์ก็ทะลึ่งลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหันจนทุกคนหันไปมอง แต่สิงห์ไม่สนใจพร้อมกับส่ายจมูกร่อนไปในอากาศ ก่อนที่ชั่ววูบหนึ่งสิงห์จะหัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกับทรุดนั่งลงอีกครั้ง
 
      " สิงห์? "
 
      " ข้าว่าเรื่องที่พวกเจ้ากำลังสุมหัวหารือกันอยู่เนี่ย พวกเจ้าก็ทำได้แค่เดาความคิดและความเป็นไปได้ไปตามเรื่องตามราวเท่านั้นแหละ "
 
      " ถ้าคิดจะพูดแล้วทำได้แค่เอาตีนราน้ำเช่นนี้ ข้าว่าเจ้านั่งเงียบๆดีกว่านะ "  ศกุนตลาที่นั่งอยู่ข้างๆเหลือบหางตามามองพร้อมกับพูดเสียงเรียบ ทำเอาไกรที่แม้จะยังเคืองๆไอ้สิงห์อยู่ยังอดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายที่โดนด่าซึ่งๆหน้าจนแทบเสียหมาเช่นนี้ไม่ได้ ในขณะที่สิงห์ส่งเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจ ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
 
      " เจ้านี่ปากจัดขึ้นนะ ศกุนตลา...แล้วอีกอย่าง ข้าก็หมายความตามที่ข้าพูดจริงๆ "
 
      " หืม? "
 
      " คาดเดาไปก็เท่านั้น ทำไมเจ้าไม่ลองถามนังตัวต้นเหตุเองเสียเลยล่ะ "
 
        ไกรขมวดคิ้วอย่างงงงวย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไร ฆานประสาทของเขาและของสองสาวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางๆอันเป็นกลิ่นหอมประจำกายของดาราแห่งบรรลัยกัลป์ที่ลอยมาตามสายลม นั่นทำให้ทุกคนที่เหลือถึงกับลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหันจนโต๊ะรอบข้างหันมามองทันที
 
      " ดารา! "  
 
      " ไกร เราต้องคุยกัน "
 
        ดาราแห่งบรรลัยกัลป์ หญิงสาวผู้มีความสามารถในการปลอมแปลงรูปโฉมและกลิ่นอายอย่างแนบเนียนที่สุด เวลานี้อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีวัยกลางคนที่อยู่ในชุดและรูปร่างภูมิฐานราวกับเป็นเมียใหญ่ของขุนนางระดับพระยาคนนึง กระชับผ้าคลุมไหล่สีเข้มขึ้นพร้อมกับเดินเชิดหน้าเฉิดฉายเข้ามาและเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามอย่างแนบเนียนสมเป็นเมียคนใหญ่คนโต ค่อยๆก้าวเดินผ่านทางที่ทุกคนพร้อมใจกันแหวกให้และถือวิสาสะมานั่งตรงอีกข้างหนึ่งของไกร ซึ่งไกรเองก็เหลือบไปมองเล็กน้อยด้วยสายตาปลาตายตรงข้ามกับอเทตยาที่มองมาอย่างกินเลือดกินเนื้อทันที
 
      " โทษทีนะ แต่ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีอารมณ์คุยกับเจ้าเท่าไหร่ "  ไกรเอ่ยตัดจบบทสนทนาเรียบๆทั้งๆที่การสนทนายังไม่ทันเริ่มเลยด้วยซ้ำพลางยกจอกชาขึ้นดื่ม แต่ดาราในคราบของสตรีวัยกลางคนใช้มือที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยอย่างสมจริงคว้าจอกชาออกจากปากมากระแทกพื้นเสียงดังลั่น แต่เธอก็ยังกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงปรกติโดยมีความดังพอให้ได้ยินเพียงแค่โต๊ะนี้โต๊ะเดียวอีกครั้ง
 
      " ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบอารมณ์เรื่องที่ข้าแฝงตัวเข้าเตพระราชฐานชั้นในในคราบของพระสนมเอกคนใหม่ "
 
        คำพูดที่คล้ายกับคำสารภาพของดาราทำให้อเทตยาและศกุนตลาหันไปมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออกและอดทึ่งในระดับความสามารถของหญิงสาวที่เธอยังไม่แน่ใจว่าเป็นมิตรหรือศัตรูนางนี้ไม่ได้ ในขณะที่ไกรที่ใช้หางตาเหลือบมองจอกชาที่ถูกแย่งไปพร้อมกับหัวเราะกร้าวๆในลำคอเบาๆทันที
 
      " อ้อ นี่สารภาพออกมาแล้วสินะ "
 
      " อย่าทำตัวมึนตึงเป็นเด็กเล็กๆน่า ไกร โตป่านนี้แล้ว "  ดาราพูดออกมาหน้าตาเฉยทำเอาไกรอารมณ์ขึ้นวูบ ส่วนสิงห์รีบเบือนหน้ากลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะขืนหัวเราะออกมาตรงๆเขามีหวังโดนไกรกระทืบจริงๆแน่ๆ
 
      " เจ้า... "
 
      " เจ้าคิดว่าเจ้ากระสากลิ่นหอมของข้าได้ด้วยตัวเจ้าเองอย่างนั้นเหรอ? ทั้งๆที่ข้าสามารถปลอมแปลงกระทั่งกลิ่นอายจนสามารถหลบรอดการติดตามของเสือสมิงของท่านสิงห์ได้เลยนะ "  คราวนี้คำพูดของดาราทำเอาสิงห์คิ้วกระตุกเพราะเหมือนโดนดูถูก แต่คราวนี้ไกรหันมามองอย่างสนใจเล็กน้อย
 
      " จะบอกว่าเจ้าจงใจให้ข้ารู้ตัวอย่างนั้นหรือ? "
 
      " ข้ายังคงยืนยันว่าข้อตกลงเรายังคงอยู่ ข้าไม่ได้คิดร้ายต่อราชบัลลังก์อโยธยา หรือเชื้อพระวงศ์องค์ใดทั้งสิ้น ข้าเพียงแค่ต้องใช้ฉากหน้าในฐานะระดับสูงเพื่อป้องกันตัวข้าเท่านั้น "
 
      " ป้องกันตัว? จากพวกข้ารึไง นี่ไม่ไว้ใจกันเลยสิ? "  ไกรพูดเหยียดๆอย่างประชดประชัน แต่คราวนี้ดารากลับมีสีหน้าลำบากใจ เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดเบาๆว่า
 
      " สนทนากันที่นี่ไม่เหมาะ...ตามข้ามาเถอะ "  
 
      " ที่ไหนก็ไม่เหมาะสำหรับเราทั้งคู่ทั้งนั้นแหละ แล้วอีกอย่าง ข้าไม่คิดจะปิดบังยัยพวกนี้รวมถึงท่านผู้เฒ่าอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าพูดกับข้าตามลำพังข้าก็เล่าให้พวกนี้ฟังแบบหมดเปลือกอยู่ดี "
 
        ดาราเหลือบดวงตาวาววับที่อยู่ภายใต้หน้ากากของสตรีวัยกลางคนมามองไกรเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนที่เธอจะกระซิบเบาๆอีกครั้งว่า
 
      " ข้าไม่อยากจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์นะ ไกร...ถ้าเจ้าจะยืนยันเช่นนั้น ...ข้าก็คงต้องขอโทษท่านสิงห์ ท่านศกุนตลา และท่านอเทตยาล่วงหน้าเลยนะเจ้าคะ " 
 
      " หา? "  ไกรทวนคำอย่างงงๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรต่อ ดาราในคราบของสตรีวัยกลางคนก็ลุกพรวดพร้อมกับสะบัดฝ่ามือเพื่อหมายจะตบไกรทันที แต่ถึงจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไกรก็ยังประสาทไวพอจะยกมือขึ้นจับข้อมือของดาราไว้ได้ก่อนฝ่ามือนั่นจะมากระทบกับแก้มของเขาพร้อมกับปลดปล่อยจิตคุกคามออกมาอย่างคิดจะเอาเรื่องทันที
 
     ...โดยที่ไกรหารู้ไม่ว่าการเคลื่อนไหวของเขาเข้าทางที่ดาราหวังไว้ที่สุด ก่อนที่เขาจะรู้ตัว ดาราก็ขยับหมากรุกฆาตโดยไม่ยอมปล่อยให้เขายื่นอุทธรณ์แลยแม้แต่น้อย 
 
      " มากไปแล้วนะไอ้เด็กคนนี้! ข้าคลอดเจ้า เลี้ยงเจ้ามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย! พอปีกกล้าขาแข็งคิดอ่านจะสู้แม่อย่างนั้นรึ! ดูสหายที่เจ้าคบหาแต่ละตัวซิ! มีแต่นักเลงหัวไม้เกกมะเหรกเกเรไม่มีการมีงานทำที่หวังแต่เงินทองที่แม่ให้เจ้า! ...แล้วดูผู้หญิงแต่ละคนซิ! นางชะมดน้อยเหล่านี้มีส่วนไหนที่เป็นสตรีที่ดีบ้างกัน!! "
 
        เสียงตวาดดังลั่นโรงเตี๊ยมของดาราที่ปลอมแปลงเสียงจนสมเป็นสตรีมีอายุทำให้ทุกโต๊ะหันมามอง ถึงจะบอกว่าทุกคนมาจากต่างชาติต่างภาษา แต่นายสำเภาทุกคนก็ค้าขายกับอโยธยานานพอจะฟังภาษาไทยรู้เรื่อง และเพราะทุกคนไม่รู้จักไกรหรือคนอื่นๆ ทำให้เวลานี้สิ่งที่พวกเขาทุกคนรับรู้ก็คือ...เด็กหนุ่มลูกขุนน้ำขุนนางคนนึงกำลังโดนแม่บังเกิดเกล้าด่ากลางโรงเตี๊ยมนั่นเอง
  
     ...ในขณะที่ นางชะมดน้อย สองคนอ้าปากค้างเพราะพึ่งรู้ตัวว่าถูกด่าเสียซึ่งๆหน้าจนไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้ สิงห์ที่โดนด่าว่าเป็นไอ้คนไม่มีงานทำและมาเกาะไกรกลับหัวเราะร่วนออกมาอย่างถูกอกถูกใจที่สุดที่ได้เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไกร ในขณะที่ตัวไกรที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนถึงกับหน้าขึ้นสีเป็นริ้วๆด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งอายผสมกันจนแยกไม่ออก เพราะเข้ารู้ตัวว่าเขาก้าวพลาดไปเหยียบกับดักของอีกฝ่ายอย่างเต็มๆแล้ว แถมหันมามองไอ้สิงห์ สภาพไอ้สิงห์ที่แทบจะเป็นจับกังท่าเรือที่เดินตัวเปล่าเข้ามากินเหล้าก็ต่างจากสภาพของเขาที่แต่งตัวรัดกุมด้วยเสื้อผ้าชั้นดีราวกับลูกขุนน้ำขุนนางจริงๆจนทำให้เขาจำนนต่อคำด่าจนเถียงอะไรออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
 
      " เจ้านี่มัน--- "
 
      " กล้าเรียกแม่ว่าเจ้าเชียวรึ! แม่ไม่เคยเลี้ยงเจ้าให้เป็นคนเช่นนี้เลยนะ! ตามแม่กลับบ้านประเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแม่จะเอาเลือดหัวเจ้าออก! "  ดารายังคงสวมบทบาทได้อย่างแนบเนียนจนน่าบีบคอที่สุด แต่ในขณะที่ไกรกัดฟันกรอดและหันขวับกลับมาหมายจะเอาเรื่อง ดวงตาของเขาก็กลับพบกับประกายของความวิงวอนขอร้องที่หลบอยู่ภายในดวงตาสีอ่อนที่อ่านไม่ออกของดารา ซึ่งเป็นประกายที่เขาแพ้ทางอย่างที่สุด ไม่ว่าจะมาจากดวงตาของผู้หญิงคนไหนก็ตาม
 
      " เจ้า! มากเกินไปแล้วนะ!! "  ขณะที่อเทตยาลุกพรวดขึ้นพร้อมปลดปล่อยจิตสังหารหมายจะเอาเรื่อง ไกรก็ยกมือขึ้นห้ามไว้จนทุกคนหันมามองอย่างงงๆ ...ชายหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาของจารสตรีในคราบที่เธอโมเมว่าเป็นแม่ของเขานิ่งอีกครั้ง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกและยอมคลายมือที่แข็งปานคีมเหล็กออกจากข้อมือของเธอช้าๆ
 
      " แปลว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆสินะ "  ไกรกระซิบถามอีกฝ่ายด้วยเสียงบางเบาจนได้ยินกันเพียงแค่ ๒ คนเท่านั้น ซึ่งดาราก็ลอบพยักหน้ารับเบาๆเช่นกัน นั่นทำให้เขาหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก
 
      " ข...เข้าใจแล้วขอรับ...ท...ท่านแม่ "
 
      " ไกร?! "  คราวนี้เป็นศกุนตาที่หันมามองไกรอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเพราะคิดว่าเธอหูฝาด แต่ไกรหันมาลอบส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงไม่ให้ทุกคนก่อเรื่อง ก่อนที่ไกรจะหันไปมองดาราอีกครั้งอย่างคาดโทษค่าที่เธอเล่นงานเขาเสียขนาดนี้ 
 
      " ตามแม่กลับบ้าน! "  ดาราที่เห็นว่าไกรยอมเล่นด้วยแล้วก็ตวาดเอ็ดตะโรลั่นอย่างสมบทบาทจะน่าบีบคออีกครั้ง ก่อนจะเดินนำหน้าไกรไป ในขณะที่ไกรก็ต้องจำยอมตามน้ำเดินคอตกตามหลังไปโดยไล่หลังด้วยเสียงหัวเราะเยาะของเหล่านายสำเภารอบๆทุกคนจนไกรเริ่มคิดว่าเขาคิดผิดรึเปล่าที่ยอมตามน้ำมาแบบนี้  เพราะงานนี้เขาคงไม่กล้าโผล่หน้ามาที่โรงเตี๊ยมนี่ไปอีกนานแน่ๆ
 
        หลังจากที่ไกรลับหลังไปเพียงวูบเดียว ศกุนตลาก็ลุกขึ้นพร้อมกับลูบปืนสับนกที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของคัวเองเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองสิงห์กับอเทตยาและเดินตามออกไปอย่างเงียบๆตามประสาคนไม่ช่างพูดเช่นเธอ ส่วนสิงห์ยกจอกเหล้าขึ้นกระดกพร้อมกับเหลือบหางตาไปทางอเทตยาเล็กน้อยและเปรยขึ้นช้าๆว่า
 
      " ไม่ตามไปด้วยเหรอ? "
 
        วูบ!
 
        คำพูดของสิงห์กลับทำให้อเทตยาหันกลับมามองด้วยประกายตาที่ทำให้แม้แต่คนอย่างสิงห์ยังถึงกับต้องขนลุกซู่ จิตสังหารอันเยียบเย็นที่แผ่พุ่งวูบออกมาทำเอาสิงห์แทบลุกขึ้นยืนตั้งท่าป้องกัน แต่ชั่วพริบตาเดียวอเทตยาก็กลับเป็นปรกติพร้อมกับที่เธอจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอย่างช้าๆโดยไม่ปล่อยจิตคุกคามอะไรออกมาให้กระโตกกระตากรู้ถึงคนอื่นๆอีก ถึงแม้ว่าทิศทางที่เธอเดินออกไปจะเป็นคนละทิศทางกับที่ไกรและดาราเดินออกไป แต่จิตสังหารอันเย็นเยียบเมื่อครู่ก็ทำให้สิงห์ไม่อยากจะไปตอแยอะไรต่อเลย
 
      " เฮ้อ...ช่วงนี้พูดอะไรไม่ค่อยจะเข้าหูคนเลยวุ้ย กู "  สิงห์ครางออกมาเบาๆ พร้อมกับยกชามเหล้าขึ้นซดต่อ แต่จิตสังหารของอเทตยาและความไม่ชอบมาพากลต่างๆที่เกิดขึ้นก็ทำให้เหล้าในชามจืดลงและความอยากอาหารหมดไปเสียแทบหมดสิ้น ชายหนุ่มฝืนกินเหล้าต่อไปอีกครึ่งไหอย่างเสียดายก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับกระแทกชามเหล้าลงบนโต๊ะอย่างเสียไม่ได้
 
      " เฮ้อ...เหล้าชั้นดีแท้ๆ น่าเสียดาย "  สิงห์ครางออกมาเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นยืนหมายจะตามหลังพวกไกรไป แต่พอเขาลุกขึ้นเท่านั้น เด็กรับใช้ในร้านก็รีบเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเบาๆทันที
 
      " นายท่านขอรับ "
 
      " หืม? "
 
      " นายท่านเห็นด้วยไหมขอรับว่าปรกติแล้วก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปสมควรต้องชำระค่าเหล้าและค่าอาหารก่อนน่ะขอรับ "
 
        คำพูดของเสี่ยวเอ้อคนนั้นทำให้สิงห์ชะงักกึก ก่อนที่เขาจะยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผลจริงๆ แต่เรื่องมันลำบากตรงที่สิงห์เป็นคนจำพวกที่ไม่ใคร่จะชอบพกเบี้ยอัฐเท่าไหร่นัก เพราะถือว่าเป็นของร้อนอยู่กับตัวได้ไม่นาน แล้วโต๊ะนี้ก็ถูกสั่งมาอย่างไม่บันยะยันยังเพราะเขาหมายจะแกล้งไกรเล่นโดยไม่คิดว่าคนที่ซวยกลายเป็นเขาเอง
 
        สิงห์เหลือบมองเด็กรับใช้ตัวใหญ่ๆหลายคนที่เริ่มหันมามองเล็กน้อย ถึงจะมีแค่ตัวคนเดียวแต่เขาก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถฝ่าออกไปได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นเสียงของท่านผู้เฒ่าและไกรก็ดังก้องอยู่ในหัวเขาที่ขอร้องว่าอย่าพยายามก่อเรื่องอะไรให้เอิกเกริกอีก นั่นทำให้สิงห์ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ใหม่อีกรอบ นั่นทำให้เด็กรับใช้ตรงหน้าจนปัญญาเพราะไม่อาจจะคิดเงินคนที่ยังนั่งโต๊ะอยู่ได้ ในขณะที่ไอ้คนหน้าหนาอยู่แล้วอย่างสิงห์ยิ้มยิงฟันพร้อมกับไขว่ห้างและนั่งดื่มเหล้าต่อโดยไม่สนใจเหล่าเด็กรับใช้ที่ส่งสายตาวิบวับมามองอย่างไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
 
        หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดเสียงฮือฮาลั่นโรงเตี๊ยมอีกครั้ง เพราะคราวนี้มีสาวน้อยวัยกำดัดรูปงามนางนึงก้าวเท้าอย่างช้าๆเข้ามาในโรงเตี๊ยมที่เต็มไปด้วยเหล่านายสำเภาขี้เมาทั้งหลาย โดยที่เธอต่างจากอเทตยาและศกุนตลาตรงที่หญิงสาวคนนี้แต่งตัวสมเป็นกุลสตรีจริงๆที่เน้นขับความงามออกมาอย่างเต็มที่แต่กลับไม่ดูน่าเกลียดจนเกินงาม เมื่อรวมกับใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักทำให้เธอตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ทันที
 
     ...น่าเสียดาย ดอกไม้งามช่อนี้ กลับตรงไปปักอยู่บนมูลโค...
 
        หญิงสาวคนนี้เดินตรงเข้ามาอย่างไม่วอกแว่กต่อเสียงแทะโลมของโต๊ะอื่นๆเลยแม้แต่น้อย เธอมายืนอยู่ตรงหน้าสิงห์ที่นั่งดื่มเหล้าอย่างไม่สนใจพร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยจนทำให้หัวใจใครหลายๆคนตกวูบ ก่อนที่เธอจะทรุดลงนั่งข้างๆสิงห์ที่ัยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนพร้อมกับกระซิบกับชายหนุ่มเบาๆว่า
 
      " ข้าจะจ่ายอัฐโต๊ะนี้ให้ ท่านโปรดไปกับข้าด้วยเถอะนะเจ้าคะ ท่านสิงห์ "
 
      " คนของบรรลัยกัลป์สินะ "  สิงห์รินเหล้าที่เหลือจากไหลงในชาม ก่อนจะกระซิบตอบกลับเรียบๆโดยไม่หันกลับไปมองหน้าหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับจนสิงห์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆทันที
 
      " คนที่เจ้าต้องการจะคุยด้วยมันออกไปกับนายหญิงของเจ้าแล้ว มาหาข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก "
 
      " ข้าไม่ได้มีธุระกับท่านไกร แต่มีธุระกับท่าน ท่านสิงห์ "  หญิงสาวยังคงพูดด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย แต่สิงห์หัวเราะหึๆอย่างไม่สนมารยาของจารสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
 
      " ข้าไม่มีธุระจะสนทนากับเจ้า วางอัฐไว้แล้วไสหัวไปเสีย อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ "  สิงห์ตัดบทสนทนาเรียบพร้อมกับปลดปล่อยจิตคุกคามออกมาเพื่อขู่หญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ยังคงมองสิงห์ด้วยแววตาเศร้าสร้อยที่ยิ่งเศร้าสร้อยมากขึ้นไปอีก นั่นทำให้สิงห์ถึงกับต้องขมวดคิ้วทันที
 
      " ท่านอย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือเลยนะเจ้าคะ ท่านสิงห์ "
 
      " ฮ่าๆๆ พูดให้ข้าขันจนได้สินะ แต่อย่าพยายามเลยเด็กน้อย เจ้าไม่มีพลังพอจะทำให้ข้าออกแรงได้หรอก "
 
        พริบตาที่สิงห์พูดจบหญิงสาวก็ขยับตัววูบ ทำให้สิงห์ที่ระวังตัวอยู่แล้วลุกพรวดราวกับเสือที่กระสากลิ่นเหยื่อ มืออันสากและแข็งปานคีมเหล็กคว้าหมับเข้าที่ไหล่อ่อนบางของหญิงสาวที่อยู่ข้างๆทันที
 
      " เจ้าทำเรื่องโง่เขลาเสียแล้ว เด็กน้อย! "  สิงห์แยกเขี้ยววับพร้อมกับปลดปล่อยจิตคุกคามที่ระดับสูงขึ้นออกมาอย่างเจตนาจะเอาเรื่องเต็มที่ แต่หญิงสาวกลับทำในเรื่องที่สิงห์ไม่คาดคิดและทำให้สิงห์ได้เรียนรู้เรื่องอันเป็นสัจธรรมของโลกอีกอย่างหนึ่ง
 
     ...อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของสตรีน้อยเหล่านี้...ไม่ใช่ศาสตราใด แต่เป็นมารยาที่อยู่ภายในตัวของพวกเธอทุกคนต่างหาก...
 
        หญิงสาวที่นั่งอยู่น้ำตาไหลพรากพร้อมกับใช้สองแขนที่บอบบางปานจะหักได้เกาะแขนของสิงห์ไว้พร้อมกับกรีดร้องดังลั่น
 
      " พี่! พี่เลิกเป็นนักเลงแล้วกลับบ้านเราเถอะ พ่อกับแม่ของพี่ก็แก่ชราจนดูแลตัวเองแทบไม่ไหว ลูกสาวของเราก็ป่วยไข้จนล้มหมอน ทุกคนต่างก็คิดถึงพี่กันทั้งนั้น วิงวอนพี่อย่าทำร้ายข้าแล้วกลับบ้านเราเถอะนะ! "
 
        เสียงร้องของหญิงสาวที่ดังก้องไปทัวทั้งโรงเตี๊ยมทำให้ทุกคนที่เดาเรื่องราวต่างๆได้จากคำพูดของหญิงสาวหันกลับมามองไอ้นักเลงหัวไม้ที่มาเกาะเพื่อนกินอย่างสิงห์ด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อ ในขณะที่สิงห์เองเวลานี้มีสภาพราวกับเสือติดจั่นที่เวลานี้เท้าทุกข้างเหยียบลงบนจั่นที่จับจนเขาขยับไปไหนไม่ได้ ชายหนุ่มรีบหยิบอัฐที่หญิงสาวแอบส่งมาให้ลงวางกระแทกบนโต๊ะ ก่อนจะรีบจับมือจารสตรีที่เล่นงานเขาเสียย่ำแย่เดินกระแทกส้นเท้าออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยทันที ก่อนที่เขาจะถูกเหล่าลูกค้าและเด็กรับใช้ในร้านรุมกระทืบ ข้อหาทิ้งลูกทิ้งเมียมาเมาเช่นนี้แน่ๆ 
 
     ...ในชั่วขณะหนึ่ง สิงห์สาบานกับตัวเองว่าชาตินี้เขาจะไม่ยอมอยู่คนเดียวให้ตกเป็นเป้าหมายอย่างน่าอดสูเช่นนี้อีกแล้วแน่นอน!...
 
 
 
 
 
 ........................................
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา