Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ

8.1

เขียนโดย zusuran

วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.

  28 ตอน
  0 วิจารณ์
  23.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

20) สิ่งสำคัญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
สิ่งสำคัญ

สายฝนหยุดโปรยปราย แต่ท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆหม่นที่โอบอุ้มน้ำฝนเอาไว้มากมาย พร้อมทั้งเสียงร้องคำรามของฟ้าที่ยังดังมาเป็นระยะๆ
มิราอิคุกเข่าไม่กระดิกกระเดี้ยไปไหน เบื้องหลังของเขาคือเด็กน้อยที่นอนอยู่บนก้อนหิน บาดแผลของเธอถูกเยียวยาจนหายดี รอเพียงเวลาที่เธอจะลืมตาตื่นขึ้นมาเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านหรือรู้สึกอะไร เพราะสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บเจียนตายคือภาพใบหน้ากับรอยยิ้มเหยียดหยามจากน้องชายที่เขาอุตส่าห์ปกป้องดูแลมาตลอด
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าเองก็อยากจะถามเจ้านัก ฟุยูกิ ฮึก~….หากท่านพี่กลับมาข้าจะตอบเขาว่ายังไง”
คำพูดเริ่มแหบพล่าและเหือดหาย เหมือนกับว่ามีบางอย่างขึ้นมาขวางกล่องเสียง และแน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก มือทั้งสองจิกกำก้อนหินก้อนดินที่อยู่ตรงหน้า เศษหินบาดเป็นริ้วแผลเลือดหยดลงบนดินหยดแล้วหยดเล่า
แซ่ก…
เสียงฝีเท้าเล็กๆดังเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลัง เขารู้ว่านั่นคือลีอา แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะหันกลับไปดูสภาพของเธอ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม ลีอา”
ชายหนุ่มเอ่ยทักโดยไม่หันกลับไปมอง ยกฝ่ามือปกปิดดวงตาที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำใสๆ ฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้งและมากพอที่จะหลอมรวมกับน้ำในตาของเขาที่เอ่อล้นออกมาประจาน มิราอิเงยหน้ารับน้ำฝนพอให้หายร้อนตรงหัวตา
“ลีอา”
“เจ้าคะ”
“ข้านี่มัน ใช้ไม่ได้เลยจริงๆเนอะ”
“….”
“เพราะข้าอ่อนแอเกินไป”
“…….”
“ถ้าหาก ข้าแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงจะดี”
มิราอิพร่ำเพ้อคละเคล้ากับเสียงฝนที่ตกลงมา ในขณะที่ลีอายังนิ่งไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เธอคงรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดหรือถามไถ่อะไรซึ่งเช่นเดียวกับเขาที่ยังไม่กล้าหันมาเผชิญหน้าเพราะอายที่จะให้เธอมาเห็นและสงสารเวทนา
ลีอายกมือน้อยๆของเธอลูบกลางอกที่ยังเจ็บแปลบ ฟุยูกิลุกขึ้นมาและใช้ดาบแทงทะลุอกของเธออย่างไร้ความปราณี ไม่มีความลังเลในการลงดาบของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย เขาคิดอะไรอยู่ไม่มีใครรู้แม้แต่ลีอาที่อ่านใจคนได้ก็ไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่มีหัวใจดวงเดียวกับเทพธิดาสีเงินได้
“ท่านฟุยูกิ…ท่านคิดจะทำอะไร เจ้าคะ”
เสียงแผ่วๆถูกสายฝนกลืนกินไปหมดสิ้น แม้แต่เสียงสะอื้นก็ถูกกลบจนมิด

หุบเขาอันมืดดำ ความแปรปรวนจากภัยธรรมชาติทำให้บรรยากาศโดยรอบมีความน่าสะพรึงกลัวขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะความโกรธเกรี้ยวของปีศาจสาวที่อยู่ในปราสาทบนยอดเขา
“ฮึ่ม~ เจ้านั่นมันเป็นใครกัน บังอาจฆ่าท่านเนรีวงั้นรึ ข้าไม่มีทางให้พวกมันได้ตายอย่างสงบแน่!”
เมด์คำรามรอดไรฟันออกมาอย่างโกรธแค้น ผิดกับยูระที่ยังคงนิ่งไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ
“พี่ชายเจ้าถูกเจ้าพวกทายาทสังหารจนไม่เหลือแม้ร่าง เจ้ายังมีหน้ามานิ่งเฉยอยู่อีกรึ!”
“แล้วไง”
“แล้วไง?! ท่านเนรีวเป็นพี่ชายของเจ้านะ”
“เรื่องนั้นข้ารู้”
“รู้แล้วทำไมเจ้าถึงเย็นใจอยู่ได้อีก!”
เมด์ตะคอกใส่ยูระอย่างเดือดดาล แต่แล้ววิหคสาวเลือดร้อนก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้เห็นแววตาอำมหิตของอีกฝ่าย ยูระหันมาจ้องมองเธอโดยไร้ซึ่งคำพูด แต่เพราะแววตาของเธอนั้นฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิตจนทำให้เมด์ขนลุกซู่
“อย่ามาทำกิริยาแบบนี้กับข้า เมด์”
“!!!”
“เจ้าล่ะ เนรีวไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นเดือดเป็นร้อนเคียดแค้นเสียขนาดนี้”
“ข้า~”
“ข้าไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ออกไปให้พ้นหน้าข้า!”
คำพูดแทงใจดำทำให้เมด์หมดทางตอบโต้ และแถมท้ายด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใยนั้นทำให้เธอต้องรีบออกไปจากห้องนั้นอย่างหงุดหงิด แต่ก่อนที่จะหายตัวไปเธอก็ได้ลั่นวาจาเหมือนเป็นการประชดยูระแบบตรงตัวเอาไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้ามันไร้หัวใจ ยูระ ปีศาจที่ไร้หัวใจเช่นเจ้าไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้หรอก!”
เมด์พูดทิ้งท้ายและสลายร่างหายไปพร้อมอากาศ ยูระเหลือบมองฝุ่นผงสีดำที่ลอยออกไปนอกหน้าต่างเวทเพียงหางตา ก่อนจะหลับตาปรับอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านในอก แววตาที่นิ่งเฉยเริ่มแข็งกร้าวพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดสีดำ
“ไร้หัวใจรึ…เจ้าจะไปรู้อะไร เมด์”
ปีศาจแห่งสายลมยูระผู้ช่ำชองการใช้สายลมสังหารเหยื่อมานัดต่อนัด ความเยือกเย็นของเธอเป็นที่เลื่องลือ แต่บัดนี้มันได้เหือดหายไปไม่เหลือแม้เศษเสี้ยว เพราะการสูญเสียเนรีวพี่ชายทำให้เธอเคียดแค้นจนอยากทำลายทายาทแห่งราชันย์ให้แหลกเป็นผุยผงด้วยซ้ำไป

ภายในห้องโถงที่มีเพียงแสงไฟเวทมนตร์สีฟ้าซีดส่องสว่างให้เห็นเพียงเงาสลัว เด็กหนุ่มแรกรุ่นผมสีเงินเดินเข้ามาหยุดอยู่หน้แท่นศิลาด้วยสีหน้านิ่งสนิท ไอน้ำแข็งห้อมล้อมอยู่รอบกายฉวัดเฉวียนราวกับมีชีวิต ทำให้ทุกย่างก้าวของเขาถูกแช่แข็งเป็นบริเวณกว้างออกไปหลายเมตร
“หึ ยินดีต้อนรับ ฟุยูกิ ในที่สุดเราก็ได้พบกันเสียที”
ริมฝีปากแดงสดภายใต้ผ้าคลุมผืนบางที่บดบังขยับและเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทักทายเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องโถง ใบหน้าขาวซีดค่อยๆเงยขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีเงินดูแข็งกร้าว พร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในลำคอที่เยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง
“หึๆๆ”

บนเส้นทางที่ยิ่งเดินยิ่งเปลี่ยวเหงาและมืดมน ซาคุโระได้เดินทางไปพร้อมกับเร็นกะซึ่งเป็นยมทูต สายฝนตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายทำให้การเดินทางต้องหยุดชะงัก น้ำฝนเปลี่ยนพื้นดินสีคล้ำให้กลายเป็นบ่อโคลนหลายจุด
ภายใต้หลังคากระท่อมร้างที่ทำจากฟาง ร่างบางสั่นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับละอองฝนที่สาดกระเซ็นเข้าใส่ ฝ่ามือบอบบางยื่นออกไปรองรับน้ำฝนพร้อมทั้งเสียงพึมพำเบาๆ
“ฝนตกหนักจัง”
“ไม่ชอบฝนรึ”
“ไม่ชอบหิมะมากกว่า”
ซาคุโระพูดขึ้นอย่างเลื่อนลอยในขณะที่ยังสนใจอยู่กับน้ำฝน หญิงสาวก้มลงดื่มน้ำฝนในอุ้งมือเพื่อดับกระหาย เร็นกะไม่ค่อยปรากฏตัวโฉ่งฉ่างให้เธอเห็นเท่าไหร่ แค่ทำให้รู้ตัวว่ายังอยู่ใกล้ๆและจ้องมองอยู่ไม่ละสายตาเท่านั้น ตอนนี้เขายังอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะหันไปมองและเงยหน้าขึ้นไปมองเมฆฝนบนฟ้าแทน
“ฝนตกหนักขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพวกมิราอิจะเป็นยังไงบ้าง”
“เจ้าเป็นห่วงทายาทราชันย์สองคนนั่นรึ”
“อื้อ”
“แล้วเจ้า…ไม่ห่วงพี่ชายของสองคนนั่นหรอกรึ”
คำถามแทงใจดำของยมทูตหนุ่มทำให้ซาคุโระสะดุ้งสุดตัว เธอหันกลับไปทางต้นตอของเสียงทันที ด้านในของกระท่อมนั้นมืดจนมองอะไรไม่เห็น แต่เร็นกะก็ทำให้เธอมองเห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้างของเขาที่จ้องมาที่เธอ แววตานั้นจ้องมองเธอเหมือนจะมองทะลุไปเสียทุกเรื่อง และคงไม่มีประโยชน์ที่เธอจะปฏิเสธออกไปว่าไม่ใช่ แต่ก็อายที่จะตอบไปว่าใช่เหมือนกัน จึงได้แต่แสร้งเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาที่ยังจ้องมองอยู่อย่างไม่กะพริบ มือข้างหนึ่งลูบไล้ตามเนื้อผ้าแสนสวยพลางนึกไปถึงเจ้าของที่ทิ้งมันไว้กับเธอ ที่แรกก็ไม่คิดจะยุ่งกับมัน แต่เพราะความอัดอั้นในใจจึงอดไม่ได้ที่จะดึงมันเข้ามาสวมกอดเอาไว้แนบอก
“ป่านนี้นายจะเป็นยังไงบ้าง แล้วเมื่อไหร่จะกลับมา…โฮโนโอะ”
อยากเจอ อยากพบอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสนั้นอีกหรือเปล่า คิดแล้วน้ำตาก็ยิ่งจะรื้นขึ้นมาแสดงออกถึงความอ่อนแอเต็มพิกัด
เสียงเล็กๆร่ำร้องอยู่ในใจไม่มีใครได้ยิน ยกเว้นเสียแต่ใครบางคนที่อ่านจิตใจคนอื่นได้ และเสียงนั้นอาจจะล่องลอยผ่านจิตใต้สำนึก ไปหาใครบางคนที่อยู่ไกลโพ้น

ในขุมนรกที่มืดและลึกจนสุดหยั่ง โฮโนโอะยังคงปีนป่ายซากปรักหักพังที่สูงดั่งกำแพงหมื่นชั้นอย่างไม่ลดละเพื่อจะขึ้นไปข้างบน แต่ดูเหมือนยิ่งปีนกำแพงนี้ก็ยิ่งสูงไปเรื่อยๆ จนแทบจะทำให้เขาถอดใจไปหลายครั้งหลายหน
“ฮึ่ม~ทำไมมันสูงอย่างนี้นะ มองไม่เห็นแสงข้างบนเลย ให้ตายสิ”
ครึ่ก~เฟี้ยววววว~ โป๊กกกกก!!!!!
“โอ๊ยยยยย!!!! อะไรตกใส่หัวข้าอีกแล้ววะเนี่ย เจ็บนะโว้ย!”
ชายหนุ่มบริภาษออกมาอย่างหัวเสีย หลายครั้งหลายหนที่ต้องรับความเจ็บปวดแบบเดียวกันนี้อยู่เรื่อยๆ จนตอนนี้เลือดที่ไหลออกมาได้เข้าตาจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว
“ฮึ่ม~ อย่าให้ข้าขึ้นไปได้เชียวนะ ท่านพ่อก็ท่านพ่อเถอะ จะอัดให้น่วมเลยคอยดูสิ”
“ท่าทางมั่นใจเชียวนะ”
“อ๋า~ แว้กกกกกกกกก!!!!!!”
ใบหน้าคมคายของราชันย์แห่งเพลิงที่โผล่พรวดเข้ามากะทันหัน ทำให้โฮโนโอะเกือบจะปล่อยมือจากที่ยึดเกาะเพราะความตกใจ ชายหนุ่มจ้องมองเจ้าของเสียงนั้นอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ได้รับกลับมาเพียงใบหน้าที่ยิ้มแย้มกวนโทสะและคำถามที่โหยหามานาน
“อยากอัดข้ารึ”
“ใช่! ข้าจะอัดท่านให้เละเลย แล้วถ้าเจอเจ้ายมทูตนั่นเมื่อไหร่ ข้าก็จะคิดบัญชีกับมันทีหลัง!”
“ท่าทางอวดดีไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
“หนวกหู ถ้าคิดจะมาเยาะเย้ยกันละก็ ไสหัวไปไกลๆเลยไป!”
“พูดกับพ่อบังเกิดเกล้าอย่างนี้เลยรึ เจ้าเด็กไร้มารยาท เดี๋ยวก็ส่งกลับลงหลุมอีกดีไหม”
“เฮ้ย! อย่านะ!!!!”
เซนโซพูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนกึก พร้อมกับเตรียมจะดีดหน้าผากลูกชายที่เสียมารยาทกับตนให้ตกลงไปอีกหน แต่คราวนี้โฮโนโอะไม่มีท่าทีว่าจะยอมและรีบปัดมือเขาออกอย่างว่องไว
โฮโนโอะกระชับข้อมือของพ่อเอาไว้แน่น หากว่าปล่อยมีหวังถูกดีดให้ตกลงไปข้างล่างอีกแน่ๆ ดวงตาสีทองเจิดจรัสจ้องมองเขาอย่างเรียบเฉย ถึงจะรู้สึกหวั่นเกรงบ้างแต่ก็ไม่คิดจะแสดงออกและยังจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งอีกฝ่ายหรี่ตาลงต่ำแทบเป็นเส้นตรงพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ
“หึ ท่าทางอวดดีไม่มีใครเกินจริงๆ ชักอยากรู้ฝีมือจริงๆแล้วสิ…ใกล้ๆนี้มีลานประลองเล็กๆอยู่ ขึ้นไปซะสิ”
“ดี! ข้าไปแน่ รอข้าก่อนเถอะ!...”
หมับ!
“ไม่ต้อง เดี๋ยวส่งให้”
วืดดดดดดดดดดดด~
“ว้ากกกกกกกกกก!!!!!~”
โฮโนโอะลอยละลิ่วขึ้นไปข้างบนด้วยแรงเหวี่ยงของเซนโซที่จับคอเสื้อเขาเหวี่ยงราวกับว่าเห็นเป็นสิ่งของอะไรบางอย่างที่ไร้น้ำหนัก ร่างโปร่งลอยลิ่วขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะดิ่งลงมาโหม่งกับลานประลองที่แข็งยิ่งกว่าดินดาน
โป้กกกกกกกกกกก!!!!
“อุ๊บ~ หนอยแน่ะคอยดูเถอะ จะคิดทั้งต้นทั้งดอกเลย ออกมาสิพ่อขี้ขลาด!”
ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงออกมาจนก้องกังวานไปทั้งลานประลอง และไม่นานเสียงตอบรับก็ดังออกมาพร้อมกับเงารางๆที่กำลังเดินออกมาจากหลังก้อนหินที่บดบัง
“ท่าทางเก่งไม่เบานี่นะ”
“เหะ?”
โฮโนโอะชะงักไปเมื่อรู้ว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของคนที่เขากำลังเรียกหา ชายหนุ่มเพ่งสายตาจับจ้องเข้าไปหาเงารางๆที่กำลังเดินออกมาจากซอกมืด และทันทีที่เงานั้นปรากฏขึ้นชัดเจน เขาก็ต้องอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ได้พบกันนานนะ เจ้าเด็กน้อยขี้แย นี่เจ้าเติบโตขึ้นมากขนาดนี้เลยเหรอนี่”
ดวงตาสีฟ้าสดใสสั่นระริก จับจ้องไปยังร่างเพรียวบางที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า หญิงสาวแสนงามแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินสั้นอวดเรียวขาวแสนงามพร้อมด้วยเสื้อคลุมดูคล้ายนักรบ แสงไฟสีซีดที่ประดับอยู่ข้างลานประลองส่องสะท้อนให้เห็นรายละเอียดบนร่างกายของเธอค่อนข้างชัด เส้นผมสีแดงก่ำดั่งเลือดนกโบกสะบัดล้อลมอ่อนๆที่พัดผ่านปะปนกับชายผ้าเป็นริ้วยาวพร้อมทั้งอาภรณ์สีแดงส้มโอบล้อมไหล่บางเอาไว้อย่างงดงาม และสิ่งที่ตราตรึงสายตาของโฮโนโอะมากที่สุดก็คือกุญแจสีทองลวดลายละเอียดที่สวมคอและข้อมือข้อเท้าของเธอ มันคล้ายคลึงกับด้ามดาบของเซนโซที่เขาเคยเห็นตอนเด็ก
“เจ้า…”
“ท่าทางจะเก่งกาจน่าดูเลยนี่ ว่าแต่ผ้าผืนนั้นหายไปไหนซะแล้วล่ะ”
“เจ้าเป็นใคร”
“นั่นน่ะ เป็นสิ่งสำคัญมากนะ เพราะมันจะนำเจ้าไปพบกับเจ้าของที่สร้างมันขึ้นมา”
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!!!”
โฮโนโอะตวาดเสียงดังด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน คนที่เขาตั้งใจจะสู้ด้วยคือพ่อ แต่แล้วหญิงสาวปริศนาก็โผล่มาแทนที่ แถมเธอยังรู้จักเขาดีเสียด้วย หญิงงามในชุดที่เหมือนจะยั่วยวนมากกว่าจะเรียกว่านักรบหลับตาถอนหายใจอย่างขำขัน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์
“นามของข้า คือโซยะ ข้าคืออาวุธประจำกายของเซนโซ”
“อาวุธ?”
“ใช่ นางคือราชินีแห่งสงคราม โซยะ”
“ท่านพ่อ!”
เซนโซปรากฏกายขึ้นข้างๆโซยะและมองมายังโฮโนโอะที่ยังไม่หายจากความอึ้งตะลึงงัน
“หมายความว่ายังไง”
“เจ้าคงไม่รู้ว่าอาวุธของเทพกษัตริย์มีชีวิตและร่างกาย ราชันย์อย่างข้าก็ต้องคู่ควรกับราชินี นี่คือร่างที่แท้จริงของอาวุธคู่กายข้า”
“ไม่อยากเชื่อเลย”
“เชื่อเสียเถอะ แล้วต่อจากนี้นางก็คือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
“ว่าไงนะ!”
โซยะยิ้มรับ แต่โฮโนโอะกลับรู้สึกรอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มที่จะมอบให้ศัตรูไม่ใช่มิตร และแล้วก็เป็นไปตามคาด ทันทีที่เซนโซหายตัวไปเธอก็ได้ชักดาบเล็งมาที่คอของเขา
“ข้าเองก็อยากตอบคำถามเจ้าตอนนี้อยู่หรอกนะ โฮโนโอะ แต่ว่า…ตอนนี้เจ้ายังอ่อนแอเกินไป”
“อะ อ่อนแองั้นเหรอ อีกแล้ว ทำไมชอบว่าข้าอ่อนแออยู่เรื่อย!”
ฉัวะ!!!
“อึ้ก!!”
โฮโนโอะถูกปลายดาบตวัดเฉียดหน้าอก เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงบนพื้นดินสีคล้ำอันแห้งผาก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีดำและแห้งกราวราวฝุ่นผง ชายหนุ่มรีบตีตัวออกห่างเพื่อตั้งหลัก มือข้างหนึ่งประคองบาดแผลที่หน้าอกเอาไว้อย่างเจ็บปวด ถึงแม้จะเป็นเพียงแผลถากๆ แต่ก็ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนยิ่งกว่าถูกน้ำร้อนลวกทั่วกายเสียอีก
“อึก~ ทำอะไร!”
“อยากรู้เรื่องของแม่เจ้าไม่ใช่รึ เอาชนะข้าให้ได้สิแล้วข้าจะบอก”
พรึ่บ!!!
เสียงชายผ้าเสียดสีกับอากาศทันทีที่ร่างของหญิงงามได้หายวับไปจากต่อหน้า ถึงจะตกใจแต่โฮโนโอะก็ยังรักษาความเร็วของตัวเองได้ดีเยี่ยม และชักดาบออกมาต้านคมดาบของโซยะที่กำลังเข้าเชือดคอตัวเองได้อย่างหวุดหวิด ก่อนที่จะรวบรวมกำลังทั้งหมดตวัดดาบสร้างแรงกระแทกจนอีกฝ่ายล่าถอยไป
เคร้ง!
“ฮึก~”
“หลบได้เก่งนี่นะ แต่คนอ่อนแอยังไงก็ยังอ่อนแออยู่วันยังค่ำ”
“ว่าไงนะ”
“อ่อนแอแล้วยังจะทำเก่ง ทะเยอทะยานไปทั่ว เหมือนแม่ของเจ้าไม่มีผิด”
โซยะไม่สาธยายเปล่า แต่ยังพุ่งเข้าฟาดฟันโฮโนโอะอย่างไร้ปราณี ความช่ำชองของราชินีนักรบผู้เป็นถึงอาวุธของเทพกษัตริย์ ยากนักที่จะรับมือและตอบโต้ และคำพูดที่ออกมาจากปากเธอนั้นก็เป็นเสมือนปลายดาบที่ทิ่มแทงกลางอกให้ปวดร้อน ‘อ่อนแอ…เหมือนแม่’ ประโยคนี้ช่างเป็นคำที่ดูถูกและเหยียดหยามมากมายนัก ถึงจะยังไม่รู้ว่าหน้าตาของแม่เป็นยังไง แต่คำพูดที่ดูหมิ่นนั้นก็ทำให้โฮโนโอะเริ่มจะฉุน
เคร้ง~ ฉับ!!!
“อึก!!!”
“เป็นอะไรไปโฮโนโอะ หรือว่าจะยอมแพ้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต่างจากแม่ของเจ้านั่นแหล่ะ”
“หยุดพูดว่าร้ายแม่ของข้าซะที!”
“หืม~”
“ไม่ว่าจะพูดยังไง ถ้าข้าไม่เห็นกับตา ข้าไม่มีทางเชื่อหรอกว่าแม่ของข้าเป็นอย่างที่เจ้าพูด!”
“มั่นใจจริงนะ ทั้งที่เคยรู้จักหน้าค่าตาของนางด้วยซ้ำ”
“เรื่องนั้นข้าไม่สน แต่อย่ามาว่าแม่ของข้าอีก!!!”
“หึ งั้นก็มาพิสูจน์กันหน่อยสิ”
พลั่ก!!
“อั๊ก!”
โซยะตวัดปลายดาบเข้าที่ขาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว โฮโนโอะทรุดยันมือกับพื้นด้วยความเจ็บปวดสุดบรรยาย เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นฝุนผงและปลิวหายไปไม่เหลือแม้ส่วนเสี้ยว ราชินีนักรบยืนอยู่ตรงหน้าปรายตามองอย่างหยามเหยียด โฮโนโอะเวียนว่ายอยู่ในความคิดที่เริ่มปั่นป่วน เขาทึ่งและชื่นชมในความร้ายกาจของโซยะ แต่ก็ไม่คิดที่จะพ่ายแพ้ เพราะเป้าหมายของเขาคือการได้รู้เรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิด หากว่าเขาชนะหญิงงามตรงหน้านี้ได้ เขาก็จะพบกับคำตอบที่ตามหามานาน
“นี่คงจะเป็นบทพิสูจน์คำพูดของข้าได้ดีแล้วสินะ โฮโนโอะ เจ้าอ่อนแอยิ่งกว่าใครๆ แค่นี้ก็ยอมแพ้ซะแล้ว น่าสมเพช”
“แฮ่กๆๆ~ หนวกหู ใครจะไปยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้ ยังไงข้าก็ไม่ยอมตกลงไปข้างล่างนั่นอีกเด็ดขาด แล้วก็…จะเอาชนะเจ้าให้ดู!”
“มั่นใจจริงนะ แต่ว่าคนอ่อนแอเช่นเจ้าจะทำได้รึ”
“ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอ!!!”
โฮโนโอะคำรามรอดไรฟันอย่างเหลืออด คำพูดดูหมิ่นเหยียดหยามมันทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดดาบเชือดเฉือนร่างกายหลายเท่า ชายหนุ่มใช้ดาบค้ำยันตัวลุกและพยุงตัวให้ยืนเผชิญหน้ากับราชินีนักรบ ริมฝีปากเอิบอิ่มสีแดงกุหลาบสดใสเผยอยิ้มอย่างเยือกเย็นและเหี้ยมเกรียม เขารู้ว่านั่นเป็นความโหดเหี้ยมของจริง โซยะคืออาวุธสังหารคู่กายของเซนโซ และนิสัยของเซนโซก็ไม่เคยออมมือให้ใคร หากอีกฝ่ายไม่คุกเข่ายอมแพ้ก็จะสังหารโดยไร้ซึ่งความปราณี
คมดาบวาววับส่องสะท้อนนัยน์ตาสีทองของคนที่ถือมันอยู่ให้เห็นรางๆ ก่อนที่มันจะถูกยกขึ้นจรดปลายชี้ไปยังชายหนุ่มที่ใช้ดาบยันกายยืนอยู่ตรงหน้า
“ถ้ามั่นใจนักก็พิสูจน์ให้เห็นหน่อยสิ โฮโนโอะ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กไม่เอาไหนอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้ นอกจากร้องไห้คร่ำครวญ”
“อย่ามาพูดเหมือนรู้จักข้าดีหน่อยเลย ข้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าพูดแล้วก็จะไม่มีทางเป็น คราวนี้อย่าได้หวังว่าข้าจะออมมือให้ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย!”
โฮโนโอะแสยะยิ้มพร้อมจรดดาบตั้งท่าโจมตี แต่ครั้งนี้โซยะกลับขมวดคิ้วเพราะมองเห็นเค้าไอประหลาดที่เข้ามาห่อหุ้มรอบกายชายหนุ่ม
“เอาล่ะ มาตัดสินกันดีกว่า ท่านราชินีนักรบ”
โฮโนโอะเปลี่ยนไปโดยที่ตัวเองไม่เคยรู้ตัว เขาเอ่ยเรียกโซยะอย่างห่างเหินและประชดประชัน ในขณะที่เค้าไอของน้ำเข้ามาห่อหุ้มอยู่รอบกาย เปลี่ยนดาบที่มีเพลิงห่อหุ้มให้โปร่งใสประดุจแก้ว โซยะจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เธอจดจำรูปร่างและเค้าไอของพลังนี้ได้ดี พลังที่เธอและเซนโซต้องประมือด้วยเมื่อนานมาแล้ว และไม่มีทางที่จะลืมมันได้ตลอดกาล
“น้ำ พลังมหาสมุทร นั่นสินะ ก็เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านผู้นั้นนี่”
โซยะยังคงรำพึงด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะนึกย้อนความหลัง แต่พอเห็นโฮโนโอะรุกเข้ามา เธอก็สะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งและตั้งรับได้อย่างไร้กังวล แต่ทว่า…
“พุ่งเข้ามาตรงๆแบบนี้เลยรึ ท่าทางจะยังไม่รู้ตัวสินะ”
วูบ~
“อ๊ะ!!!”
ความคิดของโซยะไร้น้ำหนักไปทันทีเมื่อร่างที่พุ่งเข้ามาหาเธอนั้นเป็นเพียงฝุ่นผงที่พอแตะปลายดาบของเธอแล้วก็หายไป และพอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าการจู่โจมของโฮโนโอะนั้นได้อ้อมมาด้านหลังของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พรึ่บ!
“คราวนี้ข้าไวกว่า”
“!…”
“การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าชนะ!”
กึงงงงงงงง!!!!
“อ๊ะ!!”
ก่อนที่คมดาบที่ถูกห่อหุ้มด้วยเค้าไอวารีที่เดือดพล่านจะได้ตัดผ่าร่างของหญิงงามออกเป็นสองส่วน ก็ได้ประสานกับฝักดาบสีทองที่เข้ามาขวางเอาไว้ในชั่วพริบตา โฮโนโอะยังคงเดือดพล่านและปั่นป่วน แหงนหน้ามองร่างโปร่งที่ยืนขวางอยู่ต่อหน้าตรงหน้าระหว่างเขากับหญิงนักรบ เซนโซปรายตามองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยังไร้อารมณ์เช่นเคย พร้อมทั้งตำหนิกับสิ่งที่เขากำลังทำ
“แทงคนข้างหลัง ไม่ขี้ขลาดไปหน่อยรึ ไอ้ลูกชาย”
“หึ โผล่หน้ามาแล้วเหรอ แต่นี่มันการต่อสู้ของข้ากับนาง ท่านไม่เกี่ยว!”
“หืม”
โฮโนโอะบริภาษออกมาอย่างไม่ไว้หน้าพร้อมทั้งฟาดฟันให้ออกไปพ้นทาง เซนโซลดฝักดาบลงข้างตัวและยืนอยู่ข้างๆโซยะที่เก็บอาวุธกลับเข้าไปในฝ่ามือดังเดิม
“นายท่าน”
“พอแล้วล่ะ กลับเข้ามาเถอะ”
โซยะหันมายิ้มให้โฮโนโอะเพียงน้อยนิด ก่อนจะกลายร่างเป็นดาบและกลับเข้าไปอยู่ในฝักสีทองที่อยู่ในมือของราชันย์แห่งเพลิงตามเดิม
“หึๆๆ พลังที่ห่างหายจนแทบจะลบเลือนไปจากความทรงจำ เหลือเชื่อว่าเจ้าจะปลุกมันขึ้นมาอีก โฮโนโอะ”
“ไม่เข้าใจ พลังบ้าบออะไรกัน”
“ไม่รู้ตัวจริงๆด้วยสินะ”
“ก็แล้วมันเรื่องอะไร!… เฮือกกกกกก!!!”
ก่อนที่ความร้อนรุ่มจะระเบิดออกมาก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงความเย็นที่เข้ามาประโลมทั่วร่าง โฮโนโอะรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ตัวเขากำลังตามหา มันคือน้ำ และตอนนี้มันก็ได้มาอยู่รอบกาย และเปลี่ยนรูปร่างดาบในมือของเขาจนไม่หลงเหลือเค้าไอของเพลิงที่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
“นะ นี่มันอะไรกัน ทำไม นี่มัน นะ…น้ำ!”
จากดาบเพลิงที่ร้อนรุ่มและเผาผลาญทุกสิ่ง บัดนี้ได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบโปร่งใส ประดุจสายน้ำบริสุทธิ์ที่ทั้งนิ่งสงบและเยือกเย็น
“น้ำงั้นเหรอ”
“นึกออกหรือยังโฮโนโอะ หลายครั้งหลายหนที่เจ้าใช้พลังจากน้ำ เจ้าไม่เคยคิดเลยรึว่าทายาทแห่งไฟเช่นเจ้าทำไมถึงใช้พลังบริสุทธิ์เช่นนี้ได้”
“เพราะข้าเป็นลูกของ…”
“เพราะแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า คือราชินีแห่งมหาสมุทรยังไงล่ะ”
“แม่ของข้า! เจ้าของอาภรณ์สวรรค์…”
“ใช่ ชื่อของนางคือคัยรีว เทพกษัตริย์องค์ที่สามผู้ปกครองอาณาจักรแห่งสายชล”
“แม่ของข้าคือเทพกษัตริย์ แล้วทำไม…แม่ของข้าอยู่ที่ไหน!”
โฮโนโอะเอ่ยถามด้วยหัวใจที่ระส่ำระส่าย ความรู้สึกยินดีเหมือนพบขุมทรัพย์ล้ำค่ากำลังเอ่อล้นออกมาภายนอก
“แม่ของข้าอยู่ที่ไหน!”
“นางก็คือจอมปีศาจที่ต้องการจะกำจัดเทพธิดาสีเงินยังไง โฮโนโอะ”
คำพูดหนักแน่นไร้ความลังเลได้ออกมาจากปากของเซนโซอย่างไร้ซึ่งการรั้งรอ โฮโนโอะชะงักไปทันทีที่ได้ฟัง ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นและอ่อนยวบลงไม่เหลือแรงให้ยืนต่อ ดาบในมือที่ร่วงลงไปวางอยู่แทบเท้า
เคร้ง!
“ว่า…ยังไงนะ”
“อาจจะฟังดูเหลือเชื่อที่จู่ๆเทพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะกลายมาเป็นจอมปีศาจ แต่เพราะความทะเยอทะยานและหลงระเริงในอำนาจมืด ทำให้นางเลือกที่จะเดินไปทางนั้น”
“ไม่จริง!”
“เจ้าคงแปลกใจที่โซยะรู้จักและทักเจ้าแบบนั้น นั่นก็เพราะว่านางคือคนที่ช่วยชีวิตเจ้าออกมาก่อนที่แม่ของเจ้าจะกำจัดเจ้าอย่างไรล่ะ”
“นางไม่ต้องการข้า แล้วอาภรณ์สวรรค์นั่นล่ะ นางเอามาให้ข้าทำไม”
“ไม่ใช่”
“ฮะ?”
“อาภรณ์สวรรค์นั่น แม่ของเจ้าได้มอบให้กับพ่อเมื่อครั้งที่นางยังเป็นเทพกษัตริย์ มันคือผ้าผืนเดียวที่ห่อหุ้มเจ้ามาตั้งแต่เกิด แต่มันไม่ได้มาจากความเต็มใจของแม่เจ้า”
“บ้า…บ้าที่สุด! ที่แท้คนที่ข้าดั้นด้นตามหา คนที่ข้าอยากพบหน้ามากที่สุด ก็คือคนที่ไม่ต้องการข้า คนต้องการจะกำจัดข้าเองหรอกเหรอ ทำไม…ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม”
“พ่อนำเจ้าที่ยังเป็นทารกมายังดินแดนน้ำแข็ง ตอนแรกก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเจ้าจะรอดชีวิตแต่โจคาก็ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ได้ นางรักเจ้าเหมือนลูกแท้ๆ และพยายามที่จะปกปิดเรื่องราวของเจ้า กระทั่งเอาอาภรณ์สวรรค์ไปเก็บซ่อนไว้อย่างดี นั่นเพราะไม่อยากเห็นเจ้าต้องเจ็บปวด แต่ในวันนั้นในกองเพลิงนั่นนางคงจะบอกเจ้าไปแล้ว พ่อผิดเองที่ปกปิดเจ้ามาตลอด ขอโทษนะโฮโนโอะ”
“พอ…พอแล้ว~ ข้าไม่อยากฟัง”
โฮโนโอะกุมขมับทั้งสองข้างแน่น ในใจกระอักกระอ่วนและปั่นป่วนรุนแรง ตอนนี้เหมือนมีบางอย่างเวียนว่ายอยู่ในร่างกายและกำลังกัดกินอวัยวะภายในให้สึกหรอ
เสียงผ้าเสียดสีกับอากาศดังเข้ามาใกล้ ชายผ้าเบาบางพลิ้วไหวเข้ามาปกปิดใบหน้าของโฮโนโอะ ชายหนุ่มรู้สึกร้อนผ่าวที่หัวตา ไม่นานหยดน้ำอุ่นๆก็เอ่อล้นและร่วงเผาะลงมาเม็ดต่อเม็ด ผ้าพันคอของเซนโซช่วยปกปิดใบหน้าที่อ่อนแอของเขาไว้ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งความหวั่นไหวเอาไว้ได้ทันที
“ข้านี่ช่าง…อ่อนแอจริงๆเลยนะขอรับ ท่านพ่อ”
“เจ้าแข็งแกร่งที่สุดต่างหากล่ะ…เจ้าแข็งแกร่งมากโฮโนโอะ แกร่งเสียจนไม่มีใครปกป้องเจ้าได้”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมแม่ของข้าถึงได้…”
“เพราะนางคือคนที่มอบความแข็งแกร่งนั้นให้เจ้ายังไง แม่ของเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าใครในหล้า แต่หากจิตใจอันมืดดำนั้นทำให้นางหลงทางเท่านั้น”
“หลงทาง….งั้นเหรอ”
“อดีตทำให้คนอ่อนแอได้เสมอ แต่เจ้าก็ข้ามผ่านมันมาได้เสมอไม่ใช่รึ ถึงเวลาที่เจ้าต้องยื่นมือออกไปหาอนาคตแล้ว โฮโนโอะ”
“ท่านพ่อ”
“คัยรีวไม่ใช่ปีศาจมาแต่กำเนิด ถึงจะก้าวข้ามเขตแดนกี่ร้อยกี่พันครั้ง เทพก็ยังเป็นเทพอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นนางจึงได้ต้องการกำจัดเทพธิดาสีเงินแล้วก็ชิงอาวุธของเทพกษัตริย์องค์อื่นๆมา เพื่อให้สำเร็จแล้วกลายเป็นปีศาจเต็มตัวไงล่ะ”
“ว่าไงนะ”
“เจ้าต้องรีบแล้วโฮโนโอะ รีบไปหยุดยั้งความทะเยอทะยานของแม่เจ้า”
ราชันย์แห่งเพลิงยืนกอดอกอย่างงามสง่า ถึงจะแอบหวั่นไหวแต่ก็ยังแสดงท่าทางห้าวหาญให้สมกับเป็นนักรบผู้กล้าแกร่ง โฮโนโอะจ้องมองดวงตาสีทองคู่นั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงตาของเทพกษัตริย์ผู้กล้าแกร่ง คนที่มอบสายเลือดครึ่งอสูรให้เขา เขาคงจะไม่มีวันที่จะได้เห็นอีกแล้ว
“กลับไปซะโฮโนโอะ เวลาไม่คอยท่า ฉะนั้นจงกลับไปยังที่ๆเจ้าได้จากมาเถอะ”
“ตะ แต่ว่า ข้าตายไปแล้ว ยมทูตส่งข้ามาที่นี่”
“นรกไม่ใช่ที่ๆเจ้าควรจะอยู่ในเวลานี้”
“หมายความว่ายังไง”
“เวลาในนรกของเจ้าหมดลงแล้ว ไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้าอีกต่อไป”
“อย่ามาพูดเองเออเองอย่างนี้นะ! ก็บอกแล้วไงว่าข้าตายไปแล้ว”
“เจ้ายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องกลับไปหาอยู่ไม่ใช่รึ”
“ฮะ!!”
“สิ่งสำคัญที่ไม่ใช่ทั้งอาภรณ์สวรรค์ไม่ใช่ทั้งการคืนชีพให้เทพธิดาสีเงิน แต่เป็นอะไรเจ้าก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไง”
ใครจะไปลืมลง สิ่งสำคัญที่ว่านั่นก็คือยายผู้หญิงเจ้าอารมณ์ที่เขาฝากของสำคัญเอาไว้ก่อนมาที่นี่ยังไงล่ะ…
“จงกลับไปหาสิ่งที่รอเจ้าอยู่เถอะ ลาก่อนลูกชายของข้า”
สิ้นสุดคำพูดของเซนโซ ร่างกายทุกส่วนของโฮโนโอะก็ถูกตรึงเอาไว้แน่น พร้อมกันนั้นก็มีหลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะก่อนที่จะมีมือนับพันยื่นออกมาและกระชากเขาเข้าไปในหลุมที่เปิดกว้าง
ครืนนนนนน~
“อะ อะไรน่ะ นี่มันอะไร ท่านพ่อ!!!!”
“พ่อส่งเจ้าได้เท่านี้จริงๆโฮโนโอะ ฝากทักทายมิราอิกับฟุยูกิด้วยนะ แล้วก็….บอกแม่ของเจ้า ว่าข้ายังรอนางอยู่”
คำพูดสุดท้ายของเซนโซมาพร้อมกับแววตาที่อ่อนโยนและอบอุ่น โฮโนโอะพยายามรั้งและเอื้อมมือไปหา แต่ก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของมือนับพันนั้นได้ แม้แต่ปากที่จะอ้าส่งเสียงร้องก็ยังถูกปิดจนสนิท จนในที่สุดภาพของชายตรงหน้าก็หายด้วยความมืดของปากหลุมที่ปิดลง
“ทำไม….ทำไมต้องจากข้าไปอีกแล้ว ทำไมกัน!!”
โฮโนโอะเวียนว่ายอยู่ในความคิดซ้ำๆ ในขณะที่ร่างกายยังคงล่องลอยอย่างไร้น้ำหนักอยู่ในความมืดมิดที่เคว้งคว้างและโดดเดี่ยว และเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาและพบว่ากำลังนอนอยู่ข้างแม่น้ำที่เดิมที่เคยลาจากซาคุโระ ทุกอย่างเหมือนความฝัน แต่เพราะร่องรอยและบาดแผลที่ยังหลงเหลือทำให้มั่นใจว่าเป็นความจริง และเสียใจที่จะไม่มีโอกาสพบกับเทพกษัตริย์ผู้เป็นพ่อนั้นอีกแล้ว
“กลับมาแล้วจริงๆเหรอ…เป็นอย่างนี้ทุกที พอสารภาพผิดแล้วก็จากข้าไปทุกครั้ง ทำไมเป็นคนอย่างนี้ เห็นข้าเป็นอะไร”
“เพราะเจ้าเป็นลูกชายของเขาไงล่ะ”
น้ำเสียงเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังแทรกเข้ามาหยุดความคิดน้อยเนื้อต่ำใจของชายหนุ่ม โฮโนโอะนอนคว่ำหน้าเหม่อมองออกไปหาต้นตอของเสียงเท่าที่ดวงตาอันพล่ามัวจะเอื้ออำนวย จนกระทั่งสายตาได้เหลือบไปเห็นเท้าเปล่าเรียวยาวที่ห้อยลงมาข้างหนึ่ง และพอเงยหน้าขึ้นมองและได้พบกับโซยะที่นั่งกอดอกไขว้ขาอยู่บนโขดหินตรงหน้า
“โซยะ!”
หญิงงามไม่ตอบสนองกับเสียงของเขานอกจากมองเขาด้วยสายตาที่เย่อหยิ่งเล็กน้อย โฮโนโอะไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ทำไม ทั้งๆที่เธอสมควรจะอยู่ข้างเซนโซซึ่งเป็นเจ้านาย ทั้งที่อยากถามแต่เรี่ยวแรงกลับไม่มี แม้จะฝืนลืมตาคงสติเอาไว้ก็ยังไม่เหลือ และเขาก็ต้องหลับไปอย่างไร้ทางต้าน
______________________
to be continued

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา