My wonder girl มหัศจรรย์เรียกรัก

9.3

เขียนโดย ฤดูฝนพรำ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.34 น.

  7 ตอน
  7 วิจารณ์
  16.07K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ความโลภเป็นเหตุ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
          
ผงซักฟองสีขาวถูกโปรยใส่เนื้อผ้าสีเดียวกันจนแทบจะหมดกระป๋อง โชคดีที่มีคนเรียกชื่อเจ้าของมือที่กำลังเทผงซักฟอกอย่างมันมือ เพราะเริ่มหงุดหงิดกับคราบสกปรกบนเนื้อผ้าที่ซักเท่าไหร่ก็ซักไม่ออก ไม่อย่างนั้นคงได้ซื้อผงซักฟอกเพิ่มทั้งที่พึ่งจะซื้อไปเมื่อวาน
          “พี่รา สรุปจะเอางานที่แพรวบอกรึเปล่า” เสียงจากปลายสายโทรศัพท์ถามย้ำหญิงสาวผู้ที่กำลังยุ่งกับการซักผ้าด้วยมือ นี่ถ้าเธอไม่ขี้เกียจยกตะกร้าผ้าเดินลงไปซักเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญข้างล่างตึกของห้องพักคอนโด ก็คงไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้หรอก
          ศีรษะของเธอเอียงหนีบโทรศัพท์แนบไว้กับหัวไหล่เพื่อให้การซักผ้านั้นสะดวกขึ้นพร้อมกับการคุยธุระไปด้วย แต่นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย เพราะตอนนี้ตัวหญิงสาวนั้น เริ่มที่จะปวดลำคอเสียแล้ว
          “แกว่ายังไงนะ เมื่อกี้” ด้วยความที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดท่าทางซักผ้า จึงไม่ได้ตั้งใจฟังคนปลายสายพูดมากนัก เลยกลายเป็นว่า ต้องขอฟังใหม่อีกรอบ
          “แพรวถามว่า พี่ราจะรับงานที่แพรวเคยบอกรึเปล่า” ปลายสายเสียงหวานหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อต้องพูดอีกครั้ง
          สมองของคนถูกถามกำลังเริ่มประมวลผลถึงสิ่งที่เพื่อนรุ่นน้องทางปลายสายถาม “งาน” เธอกำลังต้องการงานเพิ่ม ต้องการเงินเพิ่ม เพื่ออนาคตอันยาวไกลตามที่วาดไว้ของเธอ
          อคิคารภ์คิดถึงบทสนทนาในคืนงานปาร์ตี้สละโสดของมัสยาที่เธอนั้นกังวลเรื่องเงิน เลยระบายความหนักใจให้กับกลุ่มเพื่อนฟัง
          ‘เฮ้อ....ฉันกำลังจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่กรีซ แต่มันดันขาดปัจจัยหลักว่ะ’
          ‘เงินเหรอ’ เธอพยักหน้าแทนคำตอบ
          ‘แกยืมฉันก็ได้นี่ ว่าที่สามีของฉันออกจะรวย ส่งแกเรียนคนเดียว สบายบรื๋อ’ มัสยาพูดก่อนจะกระดกเครื่องดื่มเข้าไปจนหมดแก้วด้วยท่าทีเครียดแทนเพื่อนรัก
          ‘ขอบใจนะเว้ย แต่ฉันไม่อยากรบกวนพวกแกเรื่องเงินจริงๆ ฉันอยากให้เงินนั้นเป็นเงินที่ฉันหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉัน แบบนั้นมันจะสบายใจเวลาที่ฉันเรียนมากกว่า’
          ‘แล้วแกจะทำอะไร ไปจัดเอกสารที่สำนักข่าวฉันไหม แต่เงินมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ’ รัตติกาลแนะนำบ้าง
          ‘ฉันเห็นป้ายประกาศรับสมัครแม่บ้านที่สนามบิน แต่แม่บ้านทำความสะอาดที่นั่นออกจะเยอะกว่าผู้โดยสารเสียอีก ไม่รู้จะรับสมัครไปทำไมนักหนา’ เกศกนกที่พึ่งนึกออกก็เสนอเช่นกัน
          สองงานที่สองคนแนะนำมามันก็น่าสนใจอยู่ แต่ดูแล้ว จำนวนเงินมันจะไม่พอกับระยะเวลาช่วงระหว่างรอสอบกับช่วงรอผลสอบ ซึ่งรวมแล้วก็ประมาณ 3 เดือนกว่า เธออยากได้งานที่ได้เงินก้อนใหญ่ แต่มันจะมีรึเปล่านั่นแหล่ะ
          ‘แพรวว่า แพรวตอบโจทย์ของพี่ราได้นะ....พี่ราสนใจงานวงการบันเทิงไหม’ แพรวรินทร์ที่เงียบอยู่นาน พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างคนมีชัย เพราะเธอรู้ว่าเพื่อรุ่นพี่ของเธอ ต้องการงานและเงินก้อนใหญ่ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นข้อเสนอของเธอจะต้องเตะหูของอคิราภ์อย่างแน่นอน
          ‘นี่แกเป็นแมวมอง แทนการเป็นดาราแล้วเหรอวะ นังแพรว’ มัสยาถึงกับออกปากแซวเพื่อนรุ่นน้องที่ทำตัวเป็นแมวมองคนเข้าวงการบันเทิง
          ‘พี่ไม่สนใจเบื้องหน้านะ แต่ถ้าเบื้องหลังน่ะ พี่ทำได้อยู่’ หากให้เธอไปทำอะไรหน้ากล้องนั่นก็คงไม่ไหว เพราะว่าอคิราภ์นั้นดันเป็นคนขี้อายและเขินเสมอเวลาเห็นกล้องถ่ายภาพ
          ‘แพรวลืมไปเลย ว่าพี่ราไม่ค่อยถูกกับกล้อง แถมถ้าจะให้ไปถ่ายรูปก็ไม่ได้อีก เพราะฝีมือการถ่ายรูปของพี่ดัน....’
          ‘ห่วย!!!’ ทั้งสามเสียงที่กำลังฟังอยู่นั้นต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน ถึงฝีมือการถ่ายภาพของอคิราภ์ ทำเอาคนถูกว่าอาย จนต้องรีบกระดกเครื่องดื่มในมือรวดเดียวหมดแก้ว เพื่อกลบเกลื่อนความขายหน้าในเรื่องนั้น
          เสียงหัวเราะชอบใจของทั้ง 4 สาว ดังเข้าไปในหูแล้วเจ็บจิ๊ดที่หัวใจ เธอยอมรับเรื่องฝีมือการถ่ายภาพที่สุดแสนจะไม่ได้เรื่อง เพราะถ้าหากมีใครใช้เธอถ่ายภาพ ภาพที่เธอถ่ายออกมาจะเสียหมด ทั้งภาพเบลอ รูปมืด รูปสว่างเกินจนไม่เห็นอะไร ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็จะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ จนอคิราภ์อยากจะประชดประชันตัวเองด้วยการหาแฟนเป็นช่างภาพสักคนให้มาสอนทักษะการถ่ายภาพกับเธอสักหน่อย ที่เธอต้องใช้วิธีการนี้เพราะเธอไม่มีเงินพอที่จะไปเข้าชั้นเรียนทักษะการถ่ายภาพน่ะสิ จึงต้องหาวิธีที่ประหยัดที่สุด จะยังไงก็ได้ แต่เธอจะไม่เสียเงินไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็นแบบนี้แน่นอน
          ‘ถ้าอย่างนั้น พี่ราสนใจอยากเป็นผู้ช่วยไหม’
          ‘ผู้ช่วยอะไร แบบไหนเหรอแพรว’ นั่นน่ะสิ อคิราภ์เองก็ไม่เข้าใจพอๆกับรัตติกาล หรือคนอื่นที่เหลือ
          ‘ผู้ช่วยของนักเขียนคอลัมน์ เงินดี แต่งานหนักนิดหน่อย แพรวรู้จักอยู่คนหนึ่งที่เขากำลังต้องการผู้ช่วยคนใหม่อยู่พอดี’
เมื่ออคิราภ์คิดออกว่าแพรวรินทร์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้วยตอนนี้หมายถึงงานอะไร เธอก็รีบตอบรับอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก คำว่าเงินดีนั้น ใหญ่กว่าคำว่างานหนักสำหรับเธอ
          “เอาสิ พี่อยากทำงานนี้”
 
 
          ผู้จัดการส่วนตัวของแพรวรินทร์โทรหาอคิราภ์ในตอนบ่ายของวัน และบอกถึงหน้าที่ที่เธอต้องทำในงานนี้ ซึ่งมันออกจะแตกต่างกับงานผู้ช่วยในแบบที่เธอคิดเอาไว้มากพอควร
          “เจ๊จุ๋ม เจ๊ช่วยพูดอีกทีสิ ว่าฉันต้องทำอะไรบ้างนะ” เจ๊ชายใจหญิง เจ้าของปลายสาย ถอนหายใจยาวก่อนจะดัดเสียงให้ฟังดูเป็นผู้หญิงที่สุด ซึ่งมันบาดลึกเข้าไปในหูชั้นในของอคิราภ์จนเธอแทบจะทนฟังไม่ได้ แต่ก็ต้องทนฟังไปอย่างนั้น
          “นี่หล่อน ฉันก็ใช่ว่าจะมีเวลาว่างทั้งวันนะยะ ตั้งใจฟังให้ดี ฉันจะบอกครั้งนี้อีกครั้งเดียว ถ้าฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องทำ” อคิราภ์เงียบไม่เถียงกลับ เพราะต้องใช่สมาธิจดลงบนกระดาษตรงหน้า ถึงหน้าที่เธอจะต้องทำหลายประการ
          “ข้อ 1 หล่อนจะต้องเข้าไปทำความสะอาด และดูแลความเรียบร้อยของบ้านของนักเขียนคอลัมน์ ข้อ 2 หล่อนจะต้องรีบทำแล้วก็รีบกลับออกมาก่อนที่เขาจะกลับเข้าบ้าน ก็คือ ช่วง 8โมงถึงบ่าย 3 นั่นคือเวลาทำงานของเธอ ข้อ 3 หล่อนจะต้องทำงานตามที่เขาสั่งไว้ ซึ่งเขาจะเขียนวางเอาไว้ที่โต๊ะอาหารในบ้าน”
          จากที่ฟังมา ทั้ง 3 ข้อ นี้เธอสามารถทำได้โดยที่ไม่มีข้อแม้เลย ติดอยู่ที่ว่า ตั้งแต่ข้อ 4 ไป มันชักจะยังไงๆอยู่ จนชักจะลังเลว่าจะรับดีรึเปล่า
          “ข้อ 4 หล่อนจะต้องทำตามคำสั่งของเขาให้ครบถ้วน ห้ามขาด ห้ามเกิน ข้อ 5 ถ้าเขาต้องการเรียกใช้หล่อน ไม่ว่าจะฝนตก น้ำท่วม รถติด รถชน กลางวันกลางคืน ว่างหรือไม่ว่าง หล่อนจะต้องไปหาเขาโดยทันที ในเวลาที่กำหนด ข้อ 6 ไม่ว่าจะทำอะไร หากมันเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากคำสั่งของเขา ให้หล่อนถามเขาก่อนทุกครั้ง อย่าอวดดี อวดฉลาดเด็ดขาด ข้อ 7 อย่าพยายามเถียงเขาเด็ดขาด เพราะหล่อนอาจต้องนั่งร้องไห้เพราะเขาได้ และข้อ 8 ข้อสุดท้าย พูดเสียงดังฟังชัดให้ไพเราะเสนาะหูเวลาอยู่กับเขา หางเสียงต้องมีเสมอ และไม่ว่าเขาจะด่าว่าหล่อนแรงแค่ไหน จงจำไว้ ฉีกยิ้มและรับขานเสียงหวาน อย่าได้พยายามฉีกกฎข้อที่ 7 เด็ดขาด”
          ข้อบัญญัติ 8 ประการนั้น ฟังดูเหมือนหน้าที่ หรือว่ากฎที่ต้องปฏิบัติตามมากกว่า อคิราภ์ตั้งใจจดตามที่เจ๊จุ๋มบอกโดยไม่ถามหรือไม่เถียงแทรก ความตั้งใจมาเต็มเปี่ยม จะว่าไปไอ้ 8 ข้อนี่มันก็ไม่ได้ยากสำหรับเธอนัก แค่ต้องอาศัยความอดทนที่เธอต้องใช้คำว่าเพื่อเงินเท่านั้น จึงจะสามารถทนอยู่ได้
          “อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะ...ฉันว่า หล่อนอย่าทำเลย ฉันไม่อยากเห็นหล่อนกลายเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด” น้ำเสียงเจ๊จุ๋มฟังดูเศร้าและเห็นใจ
          “ก็มันไม่มีงานอื่นที่ได้เงิน 1 หมื่นต่อสัปดาห์แล้วนี่เจ๊ ขอบคุณเจ๊นะที่เป็นห่วง ฉันจะอดทนให้ถึงที่สุดเลย”
          “แต่ถ้าทำไมไหวก็ออกเลยนะ เดี๋ยวฉันจะลองหางานอื่นที่เงินมันเกือบเทียบเท่านี้ให้ละกัน โชคดี”
          “ขอบคุณค่ะเจ๊จุ๋ม” อคิราภ์กดวางสายไปด้วยความลังเล ทำไมเจ๊จุ๋มถึงไม่อยากให้เธอไปทำนักล่ะ เธอชักกังวลว่า ไอ้นักเขียนคอลัมน์คนนี้จะเป็นคนที่ไม่ดีเอามากๆ หรือว่าอาจจะเป็นตาแก่สายหื่น หากเป็นอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้หวั่นอะไร เพราะเธอมีวิธีรับมือหลายแบบกับผู้ชายจำพวกนี้
 
 
หยาดน้ำจากฟากฟ้ายังคงตกกระทบลงมาใส่พื้นผิวที่อยู่เบื้องล่างอย่างไม่ขาดสาย และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก กลิ่นไอดินลอยฟุ้งอบอวลเข้ากับบรรยากาศป่าเขาธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร
          ร่างสูงยืนชิดในแนวร่มของขอบหลังคาห้องติดต่อภายใน ละอองน้ำฝนกระเด็นใส่จนผมสั้นสีเข้มกระเซิงไม่ได้ทรง มือหนาจัดการสางและเสยมันอย่างไม่อย่างไม่ใส่ใจ เพราะตอนนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ กล้องถ่ายรูปสุดที่รัก ที่ไร้การป้องกันอันตรายจากการเปียกชื้น เพราะเจ้าตัวดันลืมเอาอุปกรณ์ป้องกันติดมาด้วยจากบ้าน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าฝนจะตก มันน่าเจ็บใจตรงนี้แหล่ะ
          “นี่พ่อหนุ่ม เอาถุงใส่ไว้ก่อนไหม” คุณลุงเจ้าหน้าอุทยานยื่นถุงพลาสติกใส่ของให้กับชายหนุ่มที่ม่วนอยู่กับการหาสิ่งป้องกันกล้อง
          “ขอบคุณครับ” เขารับถุงมาพร้อมกับจัดการแพ็คกล้องใส่ถุงอย่างรวดเร็ว
          “น่าเสียดายเนอะ ที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แต่ฝนดันตกเสียได้” คุณลุงเจ้าหน้าที่ตัดเพ้ออย่างเสียดายแทนหนุ่มเยาว์วัยตรงหน้า ที่เขาอุตส่าห์ถ่อมาจากกรุงเทพ แต่ก็ดันมาติดฝน ทำให้แผนที่วางเอาไว้ล่มหมด
          “เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งใช่ไหมครับลุง” เขาหันไปสนทนากับคุณลุงเจ้าหน้าที่ต่อพลางถอดแว่นสายตาออกมาเช็ดคราบน้ำฝนออกด้วยชายเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่
          “แล้วจะเอาไงต่อล่ะพ่อหนุ่ม จะรอไปตามแผนในพรุ่งนี้แทนหรือจะกลับก่อนเลย” เขายกแว่นสายตาขึ้นมาดูว่าคราบน้ำออกจากแว่นหมดแล้ว พลางคิดคำตอบ
          “ก็คงต้องกลับก่อนครับ เพราะผมลืมเอาอะไรหลายอย่างมาด้วย” ชายหนุ่มนึกถึงการทำงานคนเดียวตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เขาก็มักจะลืมนุ่นลืมนี่เสมอ ทั้งที่เขียนรายการและตรวจเช็คสิ่งของซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนออกเดินทาง แต่เขาก็ยังจะลืมอยู่ดี
          “ทำงานคนเดียวเหรอ ปกติลุงเห็นนักเขียนคนอื่นเขาจะมีคนมาด้วยอย่างน้อยสองคนนี่ แต่นี่ลุงเห็นพ่อหนุ่มมาคนเดียว” ชายหนุ่มยิ้มแห้งก่อนจะเสยผมอีกครั้ง เป็นพฤติกรรมประจำเวลาที่เขาประหม่าที่จะพูด หรือลำบากใจกับบทสนทนา
          “ไม่ค่อยมีคนที่ทนกับงานลำบากเดินทางบ่อยแบบนี้หรอกครับ ต้องเป็นคนที่มีใจรักจริงๆ ถึงจะทำงานนี้ได้ ผมก็เลยเป็นอย่างที่ลุงเห็นเนี่ยแหล่ะครับ”
          มันก็จริงอย่างที่เขาพูด แต่นั่นเป็นแค่ความจริงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้เขาต้องอยู่คนเดียวแบบนี้
          แรงสั่นสะเทือนจากกระเป๋ากางเกงเตือนว่ามีคนโทรมา เมื่อเขาหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเบอร์หมายเลขของน้องสาว แต่เมื่อทันทีที่เขากดรับสาย เสียงจากปลายสายกลับไม่ใช่เสียงของน้องสาวของเขา มันคือเสียงที่เขาออกจะรำคาญ บาดแก้วหู ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าทำไม ไอ้ผู้จัดการผิดเพศนี่จะดัดเสียงเพื่ออะไร
          คุณลุงเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปในห้องทำงานเมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มต้องการความเป็นส่วนตัวในการคุยโทรศัพท์ ซึ่งเขาก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
          “คุณโภคินขา เจ๊จุ๋มเองนะคะ” ชายหนุ่มกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมกับพูดกลับไปอย่างรำคาญ
          “อืม มีอะไร” เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
          “เจ๊หาผู้ช่วยคนใหม่ให้ได้แล้วนะคร๊า” ผู้จัดการส่วนตัวของน้องสาวชายหนุ่มลากเสียงหวานอย่างภาคภูมิใจกับความสำเร็จครั้งนี้
          “ผู้ช่วยคนใหม่?” เขาพูดเป็นเชิงถามกลับ ทั้งที่จริงแล้วเขากำลังพูดย้ำกับความคิดของตัวเองอยู่
          คนอย่างนายโภคิน วิหคไตรภพ หนุ่มหล่อสุดเซอร์ที่สามารถใช้รชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีผู้ช่วยมานานหลายเดือน เพราะนิยามคำว่า “ผู้ช่วย” ของเขา มักหมายความว่า คนใช้ ทาสรับใช้ อะไรก็ได้ที่มีความอดทนกับเขาสูง ทนได้ทุกอย่างแบบโฆษณาสีทนได้ ดังนั้น “ผู้ช่วย” หลายๆคนที่ผ่านมาก็ไม่คุณสมบัติบัญญัติ 8 ประการตามเขาตั้งไว้ ต่างก็ต้องลาออกไป แต่คนล่าสุดนั้นเขาเป็นคนไล่ออกเองกับมือ
          น่าแปลก เพราะเขาพึ่งจะคุยเรื่องผู้ช่วยกับลุงเจ้าหน้าที่ไปเมื่อตะกี้ ก่อนหน้าเจ๊จุ๋มจะโทรมาบอกว่าได้ผู้ช่วยคนใหม่แล้ว
          “คร้า...พรุ่งนี้เจ๊จะให้เขาเข้าไปทำความสะอาดบ้านของคุณโภคินนะคะ อยากให้เจ๊สั่งอะไรเป็นพิเศษไหมเอ่ย”
          “ไม่...แค่นี้นะ” เขากดตัดสายทันทีที่พูดจบ และจัดการปิดเครื่องทันที เหตุที่เขาต้องรีบวางสายและปิดเครื่อง เพราะตอนนี้ฝนตก มันเสี่ยงเกินไปที่จะคุยโทรศัพท์ อันที่จริงเขาไม่ควรรับสายด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเป็นเบอร์ของน้องสาวโทรมาก็เลยเผลอกดรับไป
 
 
ทางด้านของเจ๊จุ๋มที่กรอกตามองบนไปไม่รู้กี่ครั้งกับพฤติกรรมอันไร้มารยาทของชายหนุ่ม เจ้าตัวหันไปมองหญิงสาวใบหน้าสวยหวานน่ามองที่กำลังเดินตรงมาหาและนั่งลงตรงเก้าอี้สำหรับนักแสดงในกองถ่ายละคร
          “เป็นไงบ้างคะเจ๊ พี่คินว่าไงบ้าง” ช่างแต่งหน้าและทีมงานรวมสองคนเดินเข้ามาช่วยกันซับเหงื่อและความมันบนใบหน้าของดาราสาวอย่างแพรวรินทร์ ซึ่งเป็นน้องสาวสุดที่รักของชายหนุ่มที่เจ๊จุ๋มพึ่งโดนกดวางสายใส่ไป
          แม้แพรวรินทร์และโภคินจะมีใบหน้าที่ละหม้ายคล้ายกันอยู่ แต่ก็สวยหล่อกันละแบบ แพรวรินทร์มีความสวยหวาน อ่อนโยนน่าทะนุถนอมและเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารักสำหรับทุกคนที่ดีกับเธอ ส่วนโภคินนั้นออกไปในทางแนวสายเถื่อนเสียมากกว่า ซึ่งเจ๊จุ๋มก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโภคินถึงได้ปล่อยตัวไปเป็นหนุ่มลุคเซอร์ได้ ทั้งที่เมื่อก่อนนั้นโภคินเองก็เป็นดาราที่มีดีกรีเป็นพระเอกสุดฮ๊อตแห่งวงการบันเทิงที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ๊จุ๋มเช่นกัน เนี้ยบ เป๊ะไร้ที่ติ ไร้หนวดไร้เครา ก่อนจะถอนตัวจากวงการบันเทิงไป อะไรทำให้ผู้ชายคนหนึ่งเปลี่ยนได้ขนาดนี้
          ไม่เพียงแต่เปลี่ยนลุคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนิสัยอีกด้วย จากคนที่ยิ้มเก่ง พูดจาน่าฟัง อ่อนน้อมถ่อมตน กลายเป็นคนประเภทปากปีจอ พูดตรงจนเกินจะรับฟังได้ แถมยังจะเผด็จการเอาแต่ใจ จนผู้ช่วยหลายๆคนที่เจ๊จุ๋มเป็นคนหาไปให้ต่างพากันขอลาออกเพราะทนไม่ได้กับพฤติกรรมของโภคิน ที่ดูเหมือนเป็นคนง่ายๆแต่เข้าถึงยากและเข้าใจยากด้วย
          “จะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็วางสายอย่างหยาบคายใส่เจ๊น่ะสิ” เจ๊จุ๋มหน้างอกับการกระทำที่พึ่งจะโดนไป
          “พี่คินคงอารมณ์เสียที่เจ๊ใช้เบอร์ของแพรวโทรไปรึเปล่า” แพรวรินทร์พูดอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดเล่นคลายเครียด ก่อนจะกลับไปอ่านบทละครต่อ
          “ก็ถ้าเจ๊เอาเบอร์เจ๊โทรไป พ่อคุณเขาก็ไม่รับน่ะสิ ตั้งแต่เลิกเล่นละครไปเป็นนักเขียนพเนจร เคยรับโทรศัพท์เจ๊ซะที่ไหนกันล่ะ” หญิงสาวผู้น้องที่ฟังอยู่ถึงกับฉีกยิ้มขำกับท่าทางการโกรธกึ่งงอนของเจ๊จุ๋มใหญ่แห่งวงการจัดการนักแสดง “เจ๊บอกไปแค่ว่าได้ผู้ช่วยคนใหม่แล้ว พ่อคุณก็ตอบกลับมาอยู่คำเดียว....อืม แค่นี้นะ”
          และยิ่งตลกเข้าไปใหญ่เมื่อเจ๊จุ๋มเลียนแบบท่าทางและสีหน้าของโภคินได้เหมือนราวกับเป็นคนๆเดียวกัน
          “แพรวคิดถูกรึเปล่าเนี่ย ที่ส่งงานนี้ให้พี่ราทำ มีหวังพี่รามาโวยใส่แพรวแน่เลย ว่านักเขียนคอลัมน์คนนั้น คือพี่คินน่ะ และพี่คินก็ต้องมาโวยแพรวว่า ผู้ช่วยคนใหม่ของเขาคือพี่รา แพรวตายอย่างเดียว มีแต่ตายกับตาย”
          แต่ดูเหมือนว่าคนกลางอย่างแพรวรินทร์จะน่าเครียดกว่าเจ๊จุ๋ม อีกคนหนึ่งก็เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทด้วย อีกคนหนึ่งก็พี่ชายสุดที่รัก เธอต้องเละแน่เมื่ออยู่ตรงกลางอย่างนี้
          “แต่เจ๊ว่า นังอคิราภ์น่าจะทนได้ เพราะนังนี่มันหน้าเงิน ถึงมันจะบ่นจะโวยวายยังไง มันก็จะทำต่อ เพื่อความโลภเรื่องเงินของมัน” เจ๊จุ๋มพูดถูก แพรวรินทร์พยักหน้าคิดตาม
          แล้วอยู่ดีๆ แม่ดาราสาวก็ยกมือขึ้นมาพนมไหว้ไว้กลางหัวและเอ่ยคำอธิฐานฟังชัด “สาธุ ขอให้พี่ราทนพี่คินได้เถอะค่ะ และก็ขอให้พี่คินทำตัวดีๆกับพี่ราเถอะนะคะ สาธุๆๆ”
          เจ๊จุ๋มเองก็พลางพนมมือไหว้อธิฐานไปด้วย ยังไม่พอ ช่างแต่งหน้าและทีมงานอีกคนก็ทำตามด้วย จากนั้นเหตุการณ์ก็กลับเป็นปกติ แพรวรินทร์กลับมานั่งอ่านบทละครต่อ ช่างแต่งหน้าและทีมงานก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ส่วนเจ๊จุ๋มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมคลายเครียดไป เหมือนกับว่าความกังวลเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา