โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.71K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ป่าซีดาร์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
พวกเขาเดินมุ่งไปข้างหน้าตรงที่แนวป่าทอดยาวรอท่าอยู่   เมื่อเดินเข้าไปใกล้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเล็กลงในขณะที่ป่าใหญ่โตขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะโอบล้อมเข้ามาอย่างมุ่งร้าย   พอผู้เฒ่าชาโคลลับไปจากสายตาเบื้องหลังก็มีแต่ความเวิ้งว้างเมื่อมองไปรอบกายก็พบแต่ความโดดเดี่ยว   ภายในป่ารกครึ้มปรากฏความนิ่งสงัดไร้การเคลื่อนไหวดุจดังสัตว์ป่าที่หมอบนิ่งรอให้เหยื่อเดินเข้าไปหา   อาเธอร์เริ่มไม่มั่นใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้แต่เขาก็ยังเดินนำเข้าไปในป่าโดยมือข้างหนึ่งยังกระชับดาบไว้มั่น   พวกเขาเดินย่ำลงบนกิ่งไม้แห้งเปราะเกิดเสียงแกรกกรากสะท้อนไปในความเงียบ   ป่าเบื้องบนกิ่งไม้และเถาวัลย์เกาะเกี่ยวกันหนาแน่นจนแสงแดดแทบจะส่องลงมาไม่ถึง   แต่นั่นคงไม่ทำให้รอดพ้นจากสายตาของมังกรดำไปได้ถ้าหากว่ามันกำลังแสวงหาเหยื่อ
 
 
เสียงนกบินดังพรึบขึ้น
ฟิโลโซเฟอร์ยกธนูตามทันที
แต่ถูกอาเธอร์คว้าเอาไว้ก่อนที่ลูกศรจะปล่อยออกไป
 
“ อย่าลูกเราจะไม่ล่าสัตว์ถ้าไม่จำเป็น   และลูกธนูจำนวนมีจำกัดที่   เจ้าต้องทำตอนนี้คือรีบเดินทางให้เร็วที่สุด ”
 
เด็กชายตีสีหน้าผิดหวังแต่ก็ยอมเก็บลูกศรเข้าซองเก็บแต่โดยดี  
ซองนี้ทำมาจากหนังกวางแช่เกลือร้อยด้วยเชือกที่ทำจากเส้นเอ็น
บิดาของเขาเป็นคนทำให้และแน่นอนเขาเองก็มีส่วนช่วยอยู่เหมือนกัน
 
“ ข้านึกว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในนี้ซะแล้ว ”
 
คาโลไรน์พูดขึ้นบ้าง
 
“ มีสิ   แต่พวกมันแอบซุ่มอยู่เงียบๆ มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ”
 
อาเธอร์บอก
 
เมื่อพวกเขาหยุดคุยกันความเงียบก็ถาโถมเข้าแทนที่มันเป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด  
ป่าดูหนาทึบและรกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไป  
กระรอกน้อยสีขาวเกาะอยู่บนคาคบไม้สูงลิ่ว
มันเอียงคอมองกลุ่มคนที่เดินผ่านไปเบื้องล่างอย่างสงสัยใคร่รู้   
ด้วยว่ามันไม่เคยเห็นมนุษย์มาก่อน
 
 
พวกเขาเดินเกาะกลุ่มไปกันเงียบๆ ผ่านต้นไม้และเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงละยาง   
อากาศเริ่มเย็นชื้นเมื่อเข้ามาถึงกลางป่า
มอสส์สีเขียวคล้ำผุดขึ้นประปรายตามพื้นที่เป็นหินและโคนต้นไม้
คายเมือกเหนียวลื่นออกมาทำให้การเดินผ่านมันไปนั้นยากลำบากแต่พวกเขาก็ยังคงเร่งฝีเท้า
 
คาโอเรียเบียดอยู่ข้างมารดานางดึงเสื้อคลุมให้กระชับแล้วโอบกระต่ายลูเข้าแนบอก   
ไออุ่นจากสัตว์ตัวน้อยไม่ทำให้ความเย็นเยือกลดลงเลย   
นางไม่ชอบอากาศที่เย็นชื้นแต่นางก็ไม่ใช่เด็กงอแงนางจึงเดินไปเงียบๆ โดยไม่ปริปากบ่น  
ผิดกับพี่ชายของนางที่ร่าเริงอยู่เสมอยิ่งได้บุกเข้าไปในป่าหรือสถานที่แปลกๆ เขาก็ยิ่งคึกคัก  
คาโอเรียเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าใดและไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน  
เด็กหญิงเหนื่อยจนแทบก้าวขาไม่ออกแต่นางก็ไม่อยากอยู่ในป่าแห่งนี้นานนักจึงต้องกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ
 
 
            เสียงสายน้ำกระทบหินดังมาแว่วๆ พอได้ยินคณะเดินทางเร่งรีบมุ่งหน้าไปตามทางนั้น   เสียงน้ำไหลดังชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเดินเท้าใกล้เข้าไป   อากาศในบริเวณนั้นเย็นยะเยือกไปด้วยละอองน้ำ   พื้นดินชุ่มฉ่ำมอสส์สีเขียวอมน้ำเงินลามไปทั่ว   กล้วยไม้หลากสีห้อยระย้าลงมาตามกิ่งก้านของต้นไม้   ผึ้งกลุ่มใหญ่บินวนเวียนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานละลานตากลิ่นหอมของดอกไม้นาๆ พันธุ์ตลบอบอวนไปทั่ว  คาโอเรียตื่นตะลึงกับหมู่มวลดอกไม้ตรงหน้า   นางไม่เคยเห็นดอกไม้มากมายขนาดนี้แต่ก็ไม่กล้าอ้อยอิงอยู่นานจึงได้แต่ทอดสายตาอาลัยพลางเดินจากมา   ไม่น่าเชื่อในดงสยองยังมีความงามซ่อนอยู่ 
 
กิ้งกือสีส้มแสดตัวใหญ่ค่อยๆ ไต่ไปตามขอนไม้ผุๆ ที่มีเห็ดสีขาวขึ้นเบียดเสียดอยู่เต็ม   เมื่อมันไต่ขึ้นไปบนเห็ดดอกเห็ดก็เรืองแสงสีฟ้าออกมาทำไห้กิ้งกือออกอาการมึนงง   ฟิโลโซเฟอร์ขว้างมันด้วยหอยทากที่เขาเก็บจากพื้นมันม้วนตัวเป็นวงก่อนจะกลิ้งตกลงมา   ทำให้อาเธอร์คิดไปถึงกิ้งกือที่แม่มดผ่าออกมาจากหัวฝีของเด็กชายบุตรคนเลี้ยงแกะ
 
 
            ในที่สุดพวกเขาก็เดินทะลุมาถึงสายน้ำใหญ่มันเป็นช่วงที่น้ำกว้างและไหลรุนแรง   กลางลำน้ำเต็มไปด้วยโขดหินแหลมคมอาเธอร์เอากระติกน้ำไปเติมจนเต็มทุกกระติก   เขามองดูน้ำที่ไหลกระทบหินจนแตกเป็นฟองฝอย   หนุ่มใหญ่อดใจไม่ไหวเขายื่นเท้าลงไปแช่ในน้ำที่เย็นฉ่ำชั่วขณะเขานึกถึงการเดินทางที่โลดโผนและอิสระเสรีในครั้งก่อนนั้นที่เขากับบิดายังญาติดีกันอยู่   เขานั่งเพลินจนไม่ทันสังเกตว่ามีดอกไม้เล็กๆ สีขาวลอยมาติดขากางเกง
 
อาเธอร์ก้มลงมอง   เขาจึงพบว่าท่ามกลางฟองฝอยของกระแสน้ำมีดอกไม้กำลังล่องลอยอยู่   กลิ่นของมันหอมลึกล้ำและสงบสุขชวนให้คิดถึงคืนวันอันแสนสุขของซีนาร์ย   อาเธอร์ช้อนมันขึ้นมาหลายดอกเพื่อนำไปฝากคาโลไรน์   นางยังไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้แต่เขามั่นใจว่านางต้องชอบ   ดอกไม้งามคงร่วงจากต้น ณ ที่ใดที่หนึ่งสายน้ำได้ซัดมันมาไกลโดยไร้จุดหมาย   อา....ชะตากรรมของคนจะเป็นเช่นไร
 
 
            คาโลไรน์แกะห่อผ้าหยิบอาหารออกมาบางส่วน   นางอยากอุ่นอาหารสักหน่อยแต่สถานที่ไม่สะดวกเป็นอย่างมาก   จึงจัดวางลงบนใบไม้ไปทั้งอย่างนั้น   ฟิโลโซเฟอร์ตามบิดาออกไปหาผลไม้ป่า   ขณะเดินผ่านลำธารอาเธอร์มองเห็นปลาน้อยใหญ่มากมายในน้ำ   เขาอยากจะจับปลาเหล่านั้นเพื่อว่าจะได้มีเนื้อปลาทานแทนเนื้อแห้งรมควันที่ทั้งเหนียวและแข็ง   ชายหนุ่มรู้ว่าในนั้นมีปลามากมายลำน้ำส่วนนี้ตื้นเขินคงหาวิธีจับมันได้ไม่ยากแต่เขายังไม่อยากเสี่ยงก่อกองไฟและพวกเขาคงไม่กินปลาทั้งที่ยังดิบๆ 
 
ขณะที่อาเธอร์กำลังคิดถึงความอิ่มท้องของทุกคนบุตรชายของเขาก็เอาแต่วิ่งเล่น   เด็กน้อยกำลังสำรวจพื้นที่อย่างสนุกสนาน   ฟิโลโซเฟอร์มาหยุดอยู่ที่ต้นไฟคัสต้นหนึ่งรากของมันห้อยระย้าลงมาเหมือนม่านบังตา   สูงขึ้นไปนกเงือกหลายตัวกำลังสำราญอยู่กับลูกไม้สีสดที่มีอยู่ดกดื่น   ไม่สนใจมนุษย์ตัวน้อยที่กำลังจ้องมองมันอยู่   เด็กชายมีธนูอยู่ในมือแต่เขารู้ดีว่ายังไม่จำเป็นต้องใช้ตอนนี้เขาคิดเรื่อยเปื่อยไปถึงมังกรดำ   เมื่อคืนเขาเห็นมันเพียงรางๆ แต่มันช่างใหญ่โตเหลือเกิน   ถ้าจะสอยมันด้วยธนูคันนี้เขาก็ยังสงสัยอยู่ว่าลูกธนูจะระคายผิวหรือเปล่าเท่าที่ได้ยินมาเก็ดมันแข็งพอๆ กับก้อนหินเลยทีเดียว
 
“ ท่านแม่คืนนี้เราจะนอนยังไงกันจ๊ะ ”
 
คาโอเรียจ้องมองไปรอบๆ แล้วอดที่จะโอดครวญไม่ได้  
ดูเหมือนที่แห่งนี้จะไม่มีทีให้นางซุกหัวนอนอย่างอบอุ่นได้เลย
คาโลไรน์ลูบผมบุตรสาวอย่างอาธร
 
“ ถึงเวลาก็จะรู้เองแหละลูกตอนนี้ต้องอดทนให้มากพอถึงโอรีเวียทุกอย่างคงจะดีขึ้น ”
 
คาโอเรียทำหน้ามุ่ยพลางนวดเท้าน้อยๆ ของตัวเอง 
ลูสะบัดขนสีขาวจนฟูนุ่มดวงตาสีส้มจับจ้องมาที่เด็กหญิงอย่างอบอุ่น
คราวนี้ไม่ทำตัวซุกซนเหมือนเคยแค่จะคอยเบียดอยู่ใกล้   
คาโอเรียสอดนิ้วเข้าไปในความนุ่มนวลของเส้นขนสีขาวอย่างใจลอย
นางกำลังคิดถึงเด็กหญิงผมดำม้วนเป็นหลอดผู้มีดวงตาสีฟ้าเข้ม
ใครๆ ก็เรียกเธอผู้นี้ว่าลีเดียนางกับคาโอเรียสะนิดสนมกันมาก
 
“ แต่ลูกไม่รู้จักใครที่นั่นไม่มีเพื่อนไม่มีใครเลย ”
 
คาโอเรียพูด
 
“ พอไปถึงโอรีเวีย   พ่อจะส่งลูกเข้าโรงเรียน   ที่นั่นมีเด็กมากมายบางทีลูกอาจจะมีเพื่อนใหม่เป็นคนต่างเมืองด้วยก็ได้ ”
 
อาเธอร์ปลอบ
 
“ ใช่   เรื่องเพื่อนไม่เป็นปัญหาหรอก ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
 
“ เมืองใหญ่ออกปานนั้น   เจ้าจะหาเพื่อนใหม่สักกี่คนก็ได้   เว้นแต่เจ้าจะยึดติดกับลีเดียเกินไป   จนไม่เปิดใจรับผู้อื่น ”
 
“ ผู้คนมากมายใช่ว่าจะเจอคนที่ถูกใจได้ง่าย   ว่าแต่เจ้าเถอะฟิโลโซเฟอร์   คนแบบพี่เนี่ยจะมีใครยอมคบหาหรือไม่ ”
 
เด็กหญิงย้อน
 
“ เหลวไหลข้าออกจะนิสัยดี   ใครบ้างไม่อยากรู้จัก   คอยดูนะเด็กชายคนแรกที่ข้าพบที่โอรีเวีย   คนๆ นั้นต้องเป็นเพื่อนกับข้าจนวันตาย ”
 
“ ไม่เอาน่า ”
 
คาโลไรน์ยกมือปาม
 
“ เจ้าไม่รู้หรอกว่าจะพบเจอคนแบบไหนบ้างในเมืองนั้นอย่าคิดสร้างข้อผูกมัดให้ตัวเองเลย ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ส่งกระติกน้ำให้น้องสาว 
นางรับมาจิบด้วยความกระหายน้ำนั้นเย็นสดชื่นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลดอกไม้
ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าน้ำนี้ไหลมาจากเทือกเขาเงาปีศาจ
 
 
            คาโอเรียอยากให้การเดินทางครั้งนี่นางอยากให้กลายเป็นว่าพวกนางกำลังเดินทางกลับไปยังซีนาร์ย   นางก็ไม่แน่ใจว่าลีเดียจะยังคงปักหลักอยู่ที่เดิมหรือว่าโยกย้ายไปแล้ว   แต่ชาวซีนาร์ยได้ชื่อว่าเป็นชนที่รักบ้านเกิดดังนั้นไม่ว่าต้องโยกย้ายไปไหนสุดท้ายก็จะขวานขวายกลับมาอยู่ที่เดิมจนได้   ไม่แน่ว่าหากคาโอเรียมีโอกาสได้กลับบ้านอีกครั้งนางอาจได้พบกับเพื่อรักคนนี้   ถ้าหากวันนั้นมีอยู่จริง
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา