โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  114.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ผู้มาเยือน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ ขออภัยที่ข้ามารบกวนเวลาดีๆ ของเจ้าในยามเช้าตรู่เช่นนี้   หวังว่าคงไม่ทำให้เจ้าต้องหงุดหงิดใจมากเกินไปหรอกนะ ”

 

ชายชราพูดขึ้น

 

“ หามิได้ท่านพ่อมด   จริงๆ แล้วข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ท่านแวะมาจะมีผู้วิเศษสักกี่คนกันเล่าที่ยอมสมาคมกับมนุษย์ธรรมดาสามัญชน   เชิญท่านพักผ่อนตามสบายเถิดข้าไม่รู้ล่วงหน้าว่าท่านจะแวะมาจึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้เป็นพิเศษ   แต่อาหารเช้าก็จวนจะเสร็จแล้วและอาเธอร์ก็คงจะกลับมาอีกในไม่ช้า ”

 

คาโลไรน์ว่า

 

“ งั้นหรือเจ้านั่นออกไปสำรวจไร่สินะ   อ้อคาโลไรน์ความจริงเจ้าไม่ต้องเรียกข้าซะเหินห่างอย่างนั้นก็ได้   ชื่อของข้าคือดีมีนเจ้าก็รู้ ”

 

พ่อมดดีมีนวางไม้เท้าไว้ข้างประตู

เขาดึงมีดสั้นออกจากเข็มขัดหนังเก่าๆ จัดการแขวนไว้รวมกับหมวกของเขา

 

“ ดูไม่เข้าท่าเลยที่พกพาอาวุธเข้ามาในดินแดนซีนาร์ยอันสุดแสนสงบสุขนี้   แต่ตลอดระยะเวลาการเดินทางข้ารู้สึกอุ่นใจที่มีมันอยู่   ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องใช้มันเลย ”

 

เขาแก้ตัวให้กับมีดเงินเก่าแก่ของเขา

 

“ ข้าเข้าใจทุกวันนี้มีคนประหลาดอยู่เต็มไปหมด   ข้าเองก็ไม่เคยชอบใจพวกคนจรเลยคนพวกนั้นชอบใช้กำลังตัดสินปัญหา   เอาล่ะคาโอเรียช่วยยกน้ำชาให้ท่านดีมีนที ”

 

ประโยคหลังนางหันไปพูดกับบุตรสาวแล้วกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนเตา 

 

คาโอเรียค่อยๆ โผล่ออกมาอย่างหวาดๆ เมื่อคาโลไรน์พยักหน้าให้นางจึงเดินเลี่ยงไปยังตู้ถ้วยชาม   เด็กน้อยเลือกเอาชุดชาใหม่สุดเท่าที่มีอยู่ในตู้   

 

มันเป็นป้านน้ำชาดินเผาขนาดกลางสีเขียวทึมๆ หูจับเล็กๆ โค้งมนกลมกลึงน่าจับต้อง   ผิวนอกของป้านน้ำชาฝังเปลือกหอยกระจัดกระจายส่องประกายแวววาว   

 

หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่นางก็เลือกหยิบห่อชาผสมเกล็ดสะระแหน่อบแห้งที่มีสรรพคุณทำให้ร่างกายสดชื่น

           

คาโอเรียหยิบใบชาสองสามใบทิ้งลงในถ้วยแล้วรินน้ำร้อนตามลงไป  

กลิ่นหอมฉุนก็ฟุ้งกระจายเต็มห้องพ่อมดเฒ่ารู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีที่ได้กลิ่น   

เขาจับตามองดูเด็กหญิงค่อยๆ ประคองถาดน้ำชามาวางลงบนโต๊ะ

 

“ นี่คงจะเป็นเด็กน้อยแสนสวยที่ข้าพบตรงรั้วบ้านสินะ   ดูท่าข้าคงทำเจ้าตกใจเข้าให้แล้ว ”

 

พ่อมดดีมีนพูดพลางยกชาขึ้นจิบ

กลิ่นหอมเย็นของชาช่วยเขาได้มากทีเดียว

 

“ นางชื่อคาโอเรียเป็นสมาชิกคนเล็กของครอบครัวเราข้าให้กำเนิดนางในคืนที่ประหลาด ”

 

“ ประหลาดและน่ากลัว   ใช่   มันน่ากลัวมากกับความผิดที่มิใช่คนก่อแต่ผลกรรมนั้นตามติดไปทั่วทุกหนแห่ง   ไม่มีผู้ใดเลยที่หลีกพ้น ”

 

“ โอ! ท่านดีมีนจริงหรือไม่ที่ว่ามันเป็นคำสาป   ข้าได้ยินข่าวลือมากมายแต่จริงเท็จเพียงใดนั้นไม่อาจรู้   แต่คำสาปใดกันที่แม้แต่สภาพ่อมดที่แข็งแกร่งแห่งโอรีเวียยังไม่อาจทำลายล้างได้ ”

 

คาโลไรน์เอ่ยถาม

 

“ คืนนั้นท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิงและเมื่อคำสาปถูกตราขึ้นฝนเลือดก็เทกระหน่ำ   หญิงสาวที่ตั้งครรภ์ต่างเสียชีวิตลงจนหมดสิ้น   คาโลไรน์เจ้าโชคดีเหลือเชื่อที่รอดจากคืนนั้นมาได้เด็กคนนี้เกิดก่อนที่คำสาปจะมาถึงเพียงเสี้ยวลมหายใจ   ดูเถิดคาโลไรน์นับจากวันนั้นข้าต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาตลอดสิบปีเพื่อมองหาแสงสว่าง    คำสาปช่างโหดร้ายนักข้ายังมองไม่เห็นหนทางที่จะยุติปัญหานี้   แต่เจ้ารู้หรือไม่ผลพวงแห่งคำสาปส่งผลให้ความเชื่อมั่นแห่งโอรีเวียนั้นสั่นคลอน ”  

 

พ่อมดถอนหายใจใบหน้าซูบซีดของเขาดูเศร้าหมองลงไปอีก 

 

คาโลไรน์มีสีหน้าสลดลง

 

“ มันเป็นคำสาปจริงๆ อย่างนั้นหรือ   พวกเราต่างสันนิฐานกันไปต่างๆ นาๆ แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันก็กังขานั้นให้แจ้งชัด   แล้วใครกันเปล่งคำสาปน่ากลัวนี้   เขาทำเพื่ออะไรกันทั้งที่เราไม่เคยทำลายหรือคิดร้ายกับใครเลยเหตุใดจึงต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ”

 

“ มีเพียงผู้เดียวในยุคนี้ที่ทำได้   ชาวเมืองซีนาร์ยเป็นชนที่รักสงบคงปิดกั้นตัวเองจากเรื่องราวของเขาทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่แม่น้ำกั้นแต่พวกเจ้ากลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น   น่าเสียดายคำสาปของควอซาร์ไม่มองข้ามเมืองเล็กๆ น่าอยู่อย่างซีนาร์ย   ไม่มีใครรอดพ้นคำสาปนี้ไปได้และข้าคิดว่าเรื่องร้ายๆ คงเพียงแค่เริ่มต้นเราคงจะต้องเผชิญอะไรอีกมาก ”

 

ว่าแล้วพ่อมดเอื้อมมือไปลูบผมของคาโอเรียอย่างเอ็นดู

 

“ ถ้าพวกเราหาทางแก้คำสาปไม่สำเร็จ   เด็กน้อยคนนี้คงเป็นมนุษย์รุ่นสุดท้ายเพราะควอซาร์นั้นหมายจะล้างมนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากโลก   แน่นอนเรื่องคงเศร้าน่าดูแต่เจ้าคาโลไรน์ ”

 

น้ำเสียงของพ่อมดเคร่งขรึม

 

 “ เจ้ามีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเจ้าต้องจัดการเสียเดียวนี้ ”

 

 “ ข้าน่ะหรือ   ข้าต้องทำอะไรและข้าจะทำอะไรได้ ”

 

คาโลไรน์ตกใจ

 

พ่อมดดีมีนยิ้มอ่อนโยนเขาชี้ไปยังเตาไฟ 

เนื้อชิ้นใหญ่กำลังส่งควันสีดำลอยฟุ้ง

 

“ ตายจริง! ”

 

นางรีบกระวีกระวาดกลับไปยังเตาไฟ 

 

พ่อมดวีดาหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับกิริยานั้น  

เขารั้งคาโอเรียขึ้นมานั่งบนตักซึ่งนางก็ยินยอมแต่โดยดีเพราะนางสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและมีเมตตาที่แผ่ออกมา   

 

คาโอเรียกำลังสงสัยในเรื่องที่ได้ยินเมืองแห่งนี้จะเกิดเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นหรือ   นางคิดไม่ออกว่าจะมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นในดินแดนที่แสนสงบนี้   เรื่องเกี่ยวกับฝนเลือดนางก็ได้ยินมาบ้างแต่นางคิดว่าเป็นนิทานหลอกเด็กเสียมากกว่า   คงจะแต่งไว้ขู่เด็กที่ทำตัวซุกซนแล้วชายชราคนนี้เป็นใครเหตุใดจึงแสดงความคุ้นเคยกับมารดาของนาง   หรือเขาจะเป็นญาติที่ห่างไกลคนใดคนหนึ่ง

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกขึ้นที่หน้าประตู

 

“ คาโอเรียมาดูอะไรนี่สิเจ้าต้องชอบแน่ ”

 

ฟิโลโซเฟอร์อุ้มห่อผ้าเดินผ่านประตูเข้ามาตามมาด้วยอาเธอร์ที่เอาแต่หัวเราะร่า

 

“ คาโลไรน์เจ้าคงไม่เชื่อผลผลิตปีนี้ดีแค่ไหน   ข้านำฟักทองมาให้เจ้าด้วยแต่มันใหญ่ยักษ์จนข้าแบกเข้าบ้านไม่ไหว   เห็นที... ”

 

อาเธอร์หยุดคุยโอ่เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นว่ามีใครอยู่ในห้องครัว

 

“ โอ! ท่านวีดาโชคดีจริงที่ท่านแวะมา   ท่านคงจะรู้จักกับสมาชิกคนล่าสุดของครอบครัวเราแล้ว ”

 

   ชายหนุ่มพูด

 

“ ใช่   นางชงชาได้ดีทีเดียวส่วนนั่นคงเป็นคาร์ไลสินะข้าจำเจ้าแทบไม่ได้   นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้มาที่นี่ ”

 

“ ฟิโลโซเฟอร์ต่างหาก ”

 

อาเธอร์แก้ให้

 

“ จริงหรือ ”

 

ดีมีนตีหน้าฉงน

 

“ ก็ตามนั้นแหละ   ในตอนแรกเขาชื่อคาร์ลายแต่ไม่รู้อย่างไรท่านกลับเรียกเขาว่าฟิโลโซเฟอร์   พวกเราเลยเรียกตามท่านเรื่อยมา ”

 

พ่อมดเฒ่าได้ยินแล้วก็หัวเราะร่วน

 

“ แหมข้านี่ก็เลอะเทอะได้เหมือนกันนะ ”

 

“ ว่าแต่ท่านมาที่นี่มีเรื่องอะไรสำคัญหรือไม่ท่านดีมีน   ข่ารู้ว่าทานมีภาระมากมายการแวะมานี่คงไม่ใช่แค่มาดื่มชาหรอกนะ ”

 

เสียงของเขามีแววระแวดระวัง

 

“ อะไรกันๆ นี่ข้าจะมาเยี่ยมเพื่อนเก่าเพื่อนแก่บ้างไม่ได้เชียวหรือ   เหตุใดจึงต้องทำหน้าเหมือนว่าข้าจะพกข่าวร้ายไว้ใต้เสื้อคลุมอย่างนั้น   หลายปีแล้วที่เราไม่ได้พบกันแต่ข้ายังระลึกถึงเจ้าเสมอ   แม้ความจริงข้าจะเดินทางไปมาผ่านดินแดนแถบนี้ประจำแต่ก็ไม่มีโอกาสแวะมาหาเจ้าเรื่องนี้เจ้าเองก็เข้าใจดี   ว่าแต่เจ้าเป็นอย่างไรบ้างพืชผักในไร่สมบูรณ์ดีทุกปีรึเปล่า ”

 

“ ก็ดีปีนี้ดูท่าจะดีกว่าทุกๆ ปีด้วยซ้ำ   หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้นก็คงได้อยู่อย่างสบายเลยล่ะ   ชีวิตชนบทก็อย่างนี้เราไม่มีเงินชื้ออาหารเราจึงต้องหาอาหารจากผืนดิน   แต่เราก็มีความสุขตามอรรถภาพไม่ต้องแก่งแย่งกับใคร ”

 

อาเธอร์หยุดพูดเพียงเท่านั้น

เขารอให้พ่อมดพูดอะไรบางอย่าง

แต่พ่อมดดีมีนก็เอาแต่ก้มหน้าสายตาเต็มไปด้วยประกายลึกลับ

 

           

ฟิโลโซเฟอร์ยืนหันรีหันขวางอย่างอึดอัดใจ  

เขาไม่ชอบบรรยากาศที่ส่อแววตึงเครียดเช่นนี้ 

 

คาโอเรียเลื่อนตัวลงตักของพ่อมดนางเดินไปหาพี่ชายของนางด้วยความสงสัย

 

“ ท่านดีมีน   ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะเดินทางจากโอรีเวียมาถึงชานเมืองแถบนี้   เพียงเพื่อถามไถ่ถึงผักในไร่ของข้าหรอกข้ารู้จักท่านดี   ท่านน่ะธุระยุ่งเหยิงนักไม่มีทางขี่ม้าข้ามเมืองมาจิบชาให้เสียเวลาเล่นเป็นแน่ ”

 

พ่อมดเฒ่าพยักหน้าแต่ยังไม่ยอมสบตากับเขา

 

“ กระต่ายบาดเจ็บนี่ ”

 

เสียงของคาโอเรียดึงความสนใจไปยังเด็กทั้งคู่   

 

เด็กหญิงรับห่อผ้าจากพี่ชายกระต่ายตัวน้อยนอนขดอยู่ในนั้น  

ขนนุ่มๆ ชุ่มไปด้วยเลือดแต่มันยังหายใจรวยริน

 

“ มันจะตายมั๊ยจ๊ะ ”

 

“ ส่งมาให้ข้าสิ ”

 

พ่อมดบอก

เขายื่นมือไปรับลูกกระต่ายตัวนั้นมาวางบนโต๊ะข้างกาน้ำชา

 

ร่างกายของกระต่ายน้อยอ่อนปวกเปียก

 

พ่อมดยิ้มออกมา  อย่างน้อยก็ดูดีกว่าแข็งทื่อล่ะน่าเพราะนั่นหมายถึงว่ามันจะไม่ลุกมาขึ้นอีกแล้ว   หลังจากตรวจดูบาดแผลโดยละเอียด   เขาก็ล้วงมือไปหยิบขวดแก้วสีดำเล็กๆ ออกมาจากเสื้อคลุมแล้วจัดการเทน้ำจากขวดลงบนแผลนั้น 

 

คาโอเรียเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อ   เมื่อเห็นบาดแผลเริ่มสมานกันเองนางก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้น 

 

ฟิโลโซเฟอร์จ้องมองพ่อมดดีมีนด้วยความประทับใจเขาเริ่มชอบพ่อมดคนนี้ขึ้นมารำไร

 

“ ไม่เลวๆ ”

 

ดีมีนเอ่ย

เขารินน้ำชาใส่จอกใบเล็กๆ ด้วยสายตาที่แน่วแน่   จากนั้นก็หมุนจอกเวียนซ้ายจนครบสามรอบแล้วจึงกรอกน้ำชาลงในปากของลูกกระต่าย

 

“ กระต่ายที่น่าสงสารตัวนี้เกิดแผลแหวะหวะทั่วทั้งตัวได้ยังไง ”

 

พ่อมดเฒ่าหันมาถามฟิโลโซเฟอร์ด้วยรอยยิ้มชื่นชม

 

“ เอ่อ...หมาป่าน่ะ   ความจริงข้าไม่ควรไปแย่งอาหารเจ้าหมาป่านั่นแต่ข้าก็ทำใจเห็นมันตายไม่ได้ ”

 

“ หมาป่า! นี่หมายความว่าอย่างไรกันอาเธอร์ ”

 

คาโลไรน์อุทานเสียงเขียว

สายตาจับจ้องผู้เป็นสามี

 

“ อ้อ  คาโลไรน์ลูกของเราชิงมันมาจากปากของหมาป่าด้วยตัวเองเลยเชียว   น่าภูมิใจใช่ไหมล่ะ ”

 

พ่อมดหัวเราะชอบใจแต่คาโลไรน์ไม่คิดเช่นนั้น

 

“ ท่านปล่อยให้ลูกทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน   ดีไม่ดีถ้าลูกของเราเกิดเข้าไปอยู่ในปากเจ้าหมาบ้านั่นแทนจะทำอย่างไรตัวแกเล็กแค่นี้เอง ”

 

“ ข้าอยากให้เจ้าได้เห็นว่าเขาจัดการกับหมาป่ายังไง ”

 

“ อาเธอร์ท่านไม่รู้หรือไรว่ามันเสี่ยง   ข้าไม่เข้าใจท่านปล่อยให้ลูกทำแบบนั้นได้อย่างไร ”

 

คาโลไรน์ยกมือกุมขมับทำท่าเหมือนจะเป็นลม

 

“ ลูกยังเล็กเกินกว่าที่จะเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นท่านน่าจะ ”

 

“ เอาเถอะๆ ”

 

พ่อมดดีมีนยกมือขึ้นปราม

 

“ ลูกชายของเจ้าน่ะไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก   สายเลือดของนักรบยังส่งผ่านมารุ่นต่อรุ่น   สักวันที่เขาเติบโตขึ้นเขาจะกลายเป็นชายหนุ่มผู้ห้าวหาญเลยทีเดียว ”

 

“ ไม่ว่ายังไงลูกของเราก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะทำอะไรเสี่ยงๆ อย่างนั้น ”

 

คาโลไรน์ยังยืนยันคำเดิม

 

“ โธ่ท่านแม่   ข้าโตพอแล้วนะและข้าสามารถปกป้องตัวเองได้ ”

 

เด็กชายว่าบ้าง

 

“ อย่ากังวลไปเลยคาโลไรน์   ถึงอย่างไรลูกของเจ้าก็กลับมาอย่างปรอดภัยแล้ว   เด็กผู้ชายน่ะเข้มแข็งไว้แหละดีดูสิเขายังมีน้องสาวอีกคนที่ต้องปกป้อง   ข้าดีใจที่เขาแกร่งพอ ”

 

พ่อมดดีมีนพูด

 

“ ข้าเชื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องปกป้องใครในดินแดนแห่งนี้   จะไม่มีเหตุร้ายใดๆ ในเมืองซีนาร์ยอย่างแน่นอน ”

 

นางโต้ตอบ

 

“ คาโลไรน์เหตุใดเจ้าจึงดูหงุดหงิดนัก ”

 

อาเธอร์เข้าไปสวมกอดนางไว้ด้วยความห่วงใย

 

“ โอ ข้าขอโทษท่านก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่เมืองนี้เด็กๆ ถูกคุกคามมาโดยตลอด   ไม่ว่าจะโดยคำสาปหรืออะไรก็ตามแต่   แล้วยังมีข่าวพวกคนเถื่อนที่ลักพาตัวเด็กๆ ไปอีก   ข้ารู้สึกหวาดกลัวจนแทบทนไม่ได้ ”

 

นางพูดพลางยกมือขึ้นปิดหน้า

 

           

พ่อมดดีมีนยกคาโอเรียขึ้นนั่งบนเก้าอี้ตัวข้างๆ เขา   เด็กหญิงจ้องมองกระต่ายน้อยด้วยความสนใจ   แม้ว่ามันจะนอนแน่นิ่งแต่หูข้างหนึ่งของมันเริ่มกระดิก   และเมื่อพ่อมดจิ้มนิ้วอันเหี่ยวแห้งลงบนคอของมันลูกกระต่ายก็ลุกพรวดพราดขึ้น   มันยืนตระหง่านด้วยสองขาหลังดวงตากลมโตสีส้มอบอุ่นจ้องมองพ่อมดอย่างงุนงง   จมูกเล็กๆ สีชมพูเชิดขึ้นเพื่อสูดอากาศ   เมื่อพ่อมดยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันก็ถอยกรูดก่อนจะตัดสินใจกระโดดไปทางคาโอเรียซึ่งนางก็เอื้อมมือไปรับมากอดไว้อย่างทะนุถนอม

 

“ แล้วกันข้าเป็นคนช่วยเจ้านะ ”

 

พ่อมดบ่นอุบอิบ

 

“ ท่านแม่ข้าเลี้ยงมันไว้ได้หรือไม่ ”

 

เด็กหญิงหันไปทางคาโลไรน์

 

“ ก็ได้แต่ลูกต้องสัญญาก่อนว่าจะดูแลมันให้ดี ”

 

“ ข้าสัญญา ”

 

คาโอเรียประคองลูกกระต่ายขึ้นมาตรงหน้า

 

“ ถ้าเช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าลูก็แล้วกันเราได้อยู่ด้วยกันแล้วนะ ”

 

           

อาเธอร์ยกหม้อดินที่บรรจุสตูเนื้อกวางไว้เต็มปริ่มมาวางลงกลางโต๊ะ   ควันสีขาวจางๆ ลอยกรุ่นขึ้นเหนือปากหม้อ   จากนั้นก็ตามมาด้วยเนื้อแห้งรมควัน   ซุบหัวผักกาดขาว   เป็ดตุ๋นเห็ดหอมและขนมปังไร้เชื้อสีน้ำตาลเข้ม

 

“ ตามสบายเลยท่านดีมีน   อาหารบ้านป่าพอมีให้กินจนเหลือเฟือแต่อาจจะไม่ถูกปากอย่างอาหารในเมือง ”

 

“ นี่ดีที่สุดในรอบหลายเดือนเลยล่ะ   เจ้าอาจไม่เชื่อว่าข้าต้องรอนแรมมานานแค่ไหน ”

 

คาโลไรน์ส่งจานเปล่าให้ทีละคน  

 

พ่อมดเริ่มตักอาหารอย่างหิวโหย

 

ฟิโลโซเฟอร์นั่งอย่างสงบนิ่งเขามองข้ามโต๊ะอาหารไปยังพ่อมดเฒ่า   เด็กชายมีเรื่องให้อยากรู้มากมายแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร   เพราะเด็กได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะกับแขกได้ก็จริงถูกแต่ห้ามไม่ให้ส่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น 

 

คาโอเรียนั่งแกว่งเท้าบนเก้าอี้   ความสนใจทั้งหมดของนางมุ่งไปที่กระต่ายตัวใหม่ซึ่งนั่งร่วมวงอยู่บนโต๊ะ   เด็กชายแอบสงสัยอยู่เงียบๆ ว่าถ้ากระต่ายตัวนี้เผลอกระโดดลงไปในหม้อสตูแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

 

 

            อาหารบนโต๊ะหมดลงอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ   คาโลไรน์ยกถาดพายสับปะรดลงแทนที่ตามด้วยข้าวโพดอบเนย   น้ำผึ้งป่าสีเหลืองอำพันในโถแก้วโรยหน้าด้วยองุ่นป่าสีม่วงลูกเล็กๆ ตบท้ายเป็นของหวาน 

 

ฟิโลโซเฟอร์อิ่มจนแทบจะลงไปนอนลูบพุงแต่ก็ไม่มีใครว่า   คาโลไรน์ให้ความเห็นว่าเด็กในวัยเช่นเขากำลังโตต้องกินให้มาก   เด็กชายตบท้องที่แข็งโป๊กของตัวเอง  

 

พ่อมดนั่งเอนตัวบนเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลายแต่สายตายังไม่ทิ้งแววกังวล   เด็กชายมองเขาด้วยความสนใจ   

ฟิโลโซเฟอร์รู้ว่าพ่อมดคนนี้เดินทางมาจากโอรีเวียเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไป   เขาเคยได้ยินพวกนักเดินทางพูดถึงความมั่งคั่งของเมืองนี้บ่อยๆ

 

เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายถิ่นตึกรามบ้านช่องที่โอ่อ่า   เมืองที่หลายคนฝันอยากไปเพราะมีโรงเรียนที่โด่งดังที่สุดที่เคยผลิตผู้กล้าแห่งยุคหลายต่อหลายรุ่นมาแล้ว   และแน่นอนเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายตัวน้อยจากหลายเมืองก็มารวมตัวกันที่นั่น   

 

ฟิโลโซเฟอร์ก็คิดฝันถึงเมืองนั้นอยู่บ่อยครั้ง   แต่เขาไม่กล้าบอกใครเพราะทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่   การที่เขาได้พบกับพ่อมดดีมีนในวันนี้ทำให้เขาเกิดแรงบัลดาลใจอีกครั้ง   บางทีเขาอาจหาทางไปโอรีเวียเองในวันหนึ่งข้างหน้า 

 

เด็กชายผู้นี้ชื่นชอบการผจญภัย   บางครั้งเขาแอบมารดาไปล่าสัตว์กับบิดาของเขา   อาเธอร์สอนให้เขารู้จักใช้อาวุธที่อยู่ใกล้มือ   ฝึกให้เขาสะกดรอยตามสัตว์ป่า

 

ฟิโลโซเฟอร์ชื่นชอบกิจกรรมเหล่านี้มาก   บางคืนเขาออกมาแกะรอยสัตว์รอบๆ บ้านซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ากระต่ายตัวน้อยๆ ที่แอบเข้ามาในสวนผักของมารดาของเขา 

 

แต่คาโลไรน์ไม่ชอบให้เขาทำแบบนี้   ในบางครั้งเขาก็นึกอยากให้บิดาของเขายินยอมให้ติดตามไปด้วย   ในยามที่ต้องออกไปล่าสัตว์ไกลๆ กับเพื่อนบ้านบ้าง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา