โอรีเวีย ( เมืองต้องสาป )

7.3

เขียนโดย shilen

วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.27 น.

  188 บทที่
  11 วิจารณ์
  113.80K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) สตรีชุดแดง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ชายหนุ่มดึงลูกๆ และภรรยาให้ออกมาพ้นจากความแออัดนั้น   เมื่อเลี้ยวออกจากทางสายหลักผู้คนก็บางตาลง   ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่กำลังมุ่งไปข้างหน้าในขณะที่พวกเขาเดินย้อนกลับหลัง   คาโอเรียเดินพลางกระโดดพลางโดยมีตะกร้าเปล่าแกว่งอยู่ในมือข้างหนึ่ง  
 
“ ป่านนี้กระต่ายลูคงหิวแย่แล้ว ”
 
นางว่า
 
“ ไม่หรอกก่อนออกมาแม่ทิ้งหัวผักกาดขาวให้ตั้งสองหัวแหนะ ”
 
“ ลูคงไม่หิวแต่ที่หิวคงเป็นเจ้าเสียมากกว่า ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่าพลางหลิ่วตาให้น้องสาว
เด็กหญิงตอบโต้โดยการเหวี่ยงตะกร้าเข้าใส่
คนเป็นพี่ก็วิ่งหนีไปรอบๆ กระโปรงบานพองสีครีมของคาโลไรน์
 
“ พอได้แล้วทั้งสองคน ”
 
นางเตือนด้วยรอยยิ้ม
 
“ โตๆ กันแล้วนะ   อีกอย่างที่นี่ไม่ใช่กลางทุ่งหญ้า   พวกเจ้าสนุกเกินไปแล้ว ”
 
“ ก็ดูเขาพูดเข้าสิ ”
 
คาโอเรียยังอารมณ์ขุ่น
และพี่ชายก็เอาแต่แลบลิ้นยั่ว
 
“ มานี่ฟิโลโซเฟอร์ ”
 
อาเธอร์ว่าพลางดึงแขนเขาไว้
 
“ อย่าทำให้น้องอารมณ์บูดแต่เช้าเลย ”
 
“ ท่านพ่อเหตุใดพ่อมดจึงเป็นผู้พิทักษ์หน้ากากทองไม่ได้ ”
 
เด็กชายถามขึ้นเมื่อคิดถึงคำพูดของชายเมื่อครู่
 
“ ไม่ใช่ไม่ได้ตำแหน่งผู้พิทักษ์หน้ากากทองนั้นเป็นขั้นสูงสุดของผู้กล้า   แต่ก็ยังต่ำกว่าผู้ใช้เวทมนตร์ฝึกหัดอยู่ดี   ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะลดตัวลงมา   อีกอย่างความสามารถของพวกเขาก็เหมาะที่จะทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า   น่าแปลกที่ข้ามั่นใจว่าคนๆ นั้นต้องเป็นพ่อมด   แต่เขาเอาหน้ากากทองของผู้พิทักษ์มาสวมทำไม   ประหลาดแท้ ”
 
“ คงเป็นคนพิลึกหล่ะมั้ง ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ว่า
 
“ ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร ”
 
“ ตายจริง   มาอยู่นี่ไม่ทันไรรู้จักคนไปทั่วแล้วหรือ   ร้ายจริงนะเรา ”
 
คนเป็นแม่ล้อ
 
“ ก็ข้าบอกแล้วไงว่าจะหาเพื่อนในเมืองโอรีเวียให้ได้ ”
 
“ แล้วได้หรือยังล่ะ ”
 
คาโอเรียถามบ้าง
 
“ เกือบแล้วเหลืออีกนิดหน่อย ”
 
เด็กชายพลัดถิ่นตัวน้อยตอบแล้ววิ่งขึ้นบ้าน
 
 
หลังจากฟ้ามืดแล้วอาเธอร์ก็เดินนำไปตามถนน   ในครั้งนี้เขาตั้งใจเดินตามถนนสายรองเพื่อว่าจะให้เด็กๆ ของเขาได้ชมแสงสีในยามราตรี   ถึงแม้ด้านนอกจะสว่างไสวแต่ชายหนุ่มก็ถือตะเกียงโคมติดมือมาด้วย   ตามอาคารบ้านเรือนล้วนประดับตกแต่งด้วยเทียนไขและโคมหลากสี   คาโลไรน์เดินรั้งท้ายมาติดๆ นางไม่อยากให้ลูกๆ คลาดจากสายตา   ค่ำคืนนี้ผู้คนต่างเนืองแน่นกันอยู่รอบๆ อนุสาวรีย์แห่งภราดรภาพ   นั่นเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการก่อสร้างอนุสาวรีย์   ผู้คนจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาสักการะและร่วมพิธีเฉลิมฉลอง
 
ฟิโลโซเฟอร์เดินเตร่ไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ   ไม่เหมือนกับคาโอเรียที่เอาแต่เกาะแขนมารดาแน่น   นั่นเป็นเหตุให้เขาพลัดลงในฝูงชนอีกครั้ง     เด็กชายเดินมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดวาดกลัวอะไรเพราะเขามั่นใจว่าทางจะสามารถหาทางกลับบ้านเองได้   เมื่อครั้งอยู่ที่ซีนาร์ยเขาออกจากบ้านในยามค่ำคืนตามลำพังบ่อยไป
 
ตลอดสองข้างทางมีการละเล่นต่างต่างมากมาย   ร้านเล็กๆ ก็วางซุ้มขายของกันแน่นขนัด   บางครั้งก็มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อขนมและของเล่นเด็กแจกคนทั่วไปที่เดินผ่านไปผ่านมา   แต่เด็กชายผู้พลัดถิ่นก็ไม่ได้เข้าไปรับแจกสิ่งเหล่านั้น   จนกระทั่ง
 
“ พ่อหนูน้อย ”
 
เสียงหวานรื่นหูดังมาจากขางทาง  
ฟิโลโซเฟอร์จึงหันไปมอง
ที่นั่นมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดคลุมแดงกับเครื่องประดับหรูหรานั่งอยู่
โต๊ะหินสีดำตรงหน้าของนางเต็มไปด้วยผลไม้หลากชนิด
 
“ เลือกเอาสักอย่างสิของหวานทั้งนั้นเลย ”
 
นางผายมือไปยังกองผลไม้สดสวยบนโต๊ะ
 
“ หยิบเอาเท่าที่อยากได้เลยนะ ”
 
นางคะยั้นคะยอเมื่อเห็นเขาลังเล
 
“ แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวมาด้วย ”
 
เด็กชายพูดปด
เพียงเพราะเขาไม่อยากรับของจากคนแปลกหน้าในเวลาที่อยู่ลำพัง
โดยเฉพาะคนที่ใจดีกับเขาโดยไม่รู้สาเหตุ
 
“ ต๊าย!   น่าสงสารจริงเด็กน้อยของข้า ”
 
นางว่าพลางหยิบเหรียญทองออกมาวางบนโต๊ะ
มันส่องประกายระยิบระยับล้อแสงไฟ
 
“ หนึ่งเหรียญแลกกับหนึ่งจุ๊บตกลงไหม ”
 
สตรีแสนงามขยิบตาให้ด้วยท่าทีล่อลวง
เด็กชายก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพลางส่ายหน้าระรัว
 
“ ไม่เอาน่า   กล้าๆ หน่อยพ่อคนดีกลัวคุณแม่มาเห็นหรืออย่างไร ”
  
เสียงนั้นทั้งยั่วยวนและท้าทาย
ฟิโลโซเฟอร์จึงเอื้อมมือไปยังแอปเปิลผลหนึ่ง  
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงแรงกระชากจากด้านหลัง
ที่ฉุดดึงจนตัวเซถลา
 
“ เด็กคนนี้มากับข้า ”
 
เสียงเรียบเย็นเฉียบขาดแต่ทว่านุ่มละมุนคุ้นหูดังขึ้น
พร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งกระจายราวกับดอกไม้ลึกลับ
เด็กชายทำตาโตเขารู้ว่านั่นคือคนที่เขาหวังจะพบในคืนนี้
 
“ แล้วกันข้าก็หวังดีกลัวว่าเด็กจะหิว ”
 
นางยังฉอเลาะไปเรื่อยแต่ดารีลไม่สนใจฟัง  
เขาดึงฟิโลโซเฟอร์ออกมาห่างๆ
 
“ นี่ๆ เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ   ราวกับว่าข้าเป็นแม่มดร้ายอย่างนั้นแหละ ”
 
สตรีชุดแดงเริ่มเสียงเขียว
ใบหน้างอง้ำอย่างมีจริตสายตาเปล่งประกายว่ารู้เท่าทัน
 
“ ข้าไม่มีเวลามาเล่นพิเรนทร์กับเจ้าหรอกไปหาเหยื่อรายอื่นเถอะ ”
 
เสียงของพ่อมดน้อยยังราบเรียบเช่นเดิม
 
  “ แล้วเจ้าทำอะไรอยู่ล่ะดารีลล่อลวงเด็กไร้เดียงสาว่างั้นสิ ”
 
นางยังคงยั่วต่อ
 
“ พวกเรารู้จักกันหรอกน่า ”
 
“ แต่ข้าเห็นเด็กคนนี้เดินตามลำพังนะเจ้าแน่ใจหรือว่าเขามากับเจ้า ”
 
นางยังเซ้าซี้
เด็กชายรู้สึกถึงแรงบีบหลังลำคอ
 
“ บอกเขาไปสิ ”
 
เสียงเข้มแกมบังคับกระซิบที่หู
 
“ เอ่อ  คือ ข้า  ข้ามากับเขา ”
 
ฟิโลโซเฟอร์ตอบตุกตะกัก
 
“ ว้า   เสียดายจังข้าน่ะชอบใจเจ้านะเด็กชายตัวน้อยๆ ของข้า ”
 
แม่สาวชุดแดงว่าพลางทอดถอนหายใจ
 
“ ไร้สาระ   ถ้าว่างนักล่ะก็   เอาเวลาไปสิงตามหัวมุมถนนเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรือ ”
 
ดารีลว่า
นางตอบโต้ด้วยการก้มหน้าทำแก้มป่องส่งเสียงบ่นอุบอิบ
แต่เมื่อทั้งคู่เดินจากไปนางก็ช้อนตาขึ้นมองด้วยรอยยิ้มประหลาด
 
 
พวกเขาเดินชิดกันท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียด   เด็กชายพบว่าเขายังสูงไม่ถึงไหล่ของพ่อมดหนุ่มน้อยด้วยซ้ำ   แต่ด้วยความสูงนั้นกลับทำให้ร่างของเขาดูโปร่งบางอย่างน่าพิศวง   คืนนี้ดารีลสวมชุดคลุมสีขาวปักเลื่อมพราวระยับ   ชายเสื้อยาวยาวกรุยกรายระพื้นมือข้างหนึ่งถือคทาเงิน   นอกจากนั้นเขายังสวมรัดเกล้าเล็กๆ รูปเถาวัลย์และกิ่งไม้คาดผ่านหน้าผาก
 
“ เมืองใหญ่ผู้คนมากมายเจ้าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ อย่างนั้น   เหมือนข้าเคยเตือนเจ้าไปแล้วมิใช่หรือ ”
 
ดารีลพูดเบาๆ เมื่อพวกเขามาถึงถนนเส้นหนึ่งที่มีผู้คนบางตากว่า
 
“ นางก็แค่แจกอาหารเหมือนอื่นๆ มิใช่หรือ ”
 
“ หญิงงามคู่กับเล่ห์มายา   ชายหนุ่มสูงสง่าคือความทะยานอยากมากตันหา   และชายชรานั้นเป็นผู้มีใจอารี ”
 
หนุ่มน้อยพ่อมดพูดขึ้นมาลอยๆ
 
“ เจ้าพูดอะไร ”
 
เด็กชายถามเพราะไม่รู้จริงๆ
 
“ แค่คำกล่าวของคนเก่าแก่น่ะ   ข้าอ่านมาจากตำราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างเมืองโอรีเวีย   ในนั้นเขียนไว้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งหลายทั้งปวงก็จะรวมกันเป็นเนื้อเดียว ”
 
ดารีลกล่าว
 
“ ขอโทษนะ   ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวกับสตรีชุดแดงเมื่อครู่นี้อย่างไร ”
 
เด็กชายบอก
 
“ ช่างเถอะ   เอาเป็นว่าหากพบนางที่ไหนเลี่ยงได้ก็จงเลี่ยงไปเสีย ”
 
“ นางเป็นคนอันตรายหรือ   อย่างเช่นแอบวางยาพิษในอาหาร   ไม่ก็ลักพาตัวเด็กไปควักหัวใจออกมาต้มกินเป็นมื้อดึกอะไรแบบนี้ ”
 
ฟิโลโฟเฟอร์ว่าแล้วทำท่าขนลุก
 
“ เปล่าหรอก   เพียงแต่นางไม่น่าคบหานัก   ถ้าเกิดเจ้าไว้ใจนาง   ชีวิตของเจ้าก็จะแปดเปื้อน ”
 
ดารีลตอบ
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา