จากบูรพาสู่โพ้นทะเล

7.0

เขียนโดย HIMARAYA

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.17 น.

  6 ตอน
  2 วิจารณ์
  5,255 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 16.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) นางโลมน้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ปักกิ่ง ปี 2456
หอนางโลมหวินจี๋ วันนี้คึกคักน้อยกว่าทุกวัน อาจจะมีแขกมามากขึ้นเมื่อตกค่ำ ลำแสงอ่อนใสส่องผ่านระแนงไม้ ทาบลงพื้นห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม หนุ่ม-สาว นอนกอดก่ายไร้อาภรณ์อยู่บนตั่งไม้แกะสลัก
 
“ที่นี่เป็นที่เดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกได้พักใจ ปักกิ่งกว้างใหญ่แต่ข้าไม่เคยมีความสุข ตั้งแต่ข้ามารับตำแหน่งที่นี่ ก็มีแต่เจ้าที่ข้าอยู่ด้วยได้อย่างสบายใจ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกระชับกอดร่างแน่งน้อยของหญิงสาวในวงแขน
 
“เป็นวาสนาของน้องที่ได้พบกับสุภาพบุรุษอย่างท่านพี่ ท่ามกลางชีวิตในหอนางโลมแห่งนี้ การได้พบกับท่านพี่เหมือนดั่งดอกไม้ผลิบานในทุ่งร้าง เป็นความสวยสดมีชีวิตชีวาเดียวในชีวิตน้อง นับเป็นโชคชะตา น้องมีความสุขเกินกว่าที่ชีวิตของหญิงนางโลมคนหนึ่งจะกล้านึกฝัน ชีวิตหลังจากนี้ตายไปก็ไม่เสียใจ” เสี่ยวฟ่งเซียน ดรุณีน้อยแห่งหอหวินจี๋อิงกายแนบแผ่นอกหนาของแม่ทัพหนุ่ม ทั้งสองกอดก่ายถ่ายเทอุ่นไอรักแก่กัน “แต่น้องก็รู้ว่าใจท่านพี่หาได้มีความสุขจริงแท้ เพราะท่านพี่ห่วงใยบ้านเมือง”
 
“ยามนี้ มีแต่น้องที่รู้ใจพี่” แม่ทัพไช่เอ้อ หนุ่มอดีตนักเรียนการทหารจากประเทศญี่ปุ่นถอนหายใจย
 
ตลอดเวลาสองปีในปักกิ่ง เขามีแต่ความอึดอัดที่ถูกจับตามองตลอด แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่า ประธานาธิบดีหยวนสือไข ให้เขามารับตำแหน่งใหญ่โตที่นี่ เพราะไม่ไว้ใจเขา จึงต้องการเก็บเขาไว้ใกล้ตัวเพื่อจะได้จับตาดูอย่างใกล้ชิด แม้ตัวอยากหาทางหนีกลับยูนนานใจแทบขาด แต่หยวนสือไขย้ายตนพร้อมทั้งครอบครัวจากยูนนานมาปักกิ่ง ด้วยเหตุผลว่าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงครอบครัวที่ยูนนาน แต่ในความเป็นจริง เขารู้ดีว่าหยวนสือไขต้องการเก็บครอบครัวตนเป็นหลักประกันอีกชั้นต่างหาก ลำพังตนเอง แม้จะยากแต่เพื่อแลกกับโอกาสหนีอันน้อยนิดก็พร้อมที่จะเสี่ยง แต่เมื่อครอบครัวอยู่ที่นี่แผนที่หลบหนีออกจากปักกิ่งจึงแทบเป็นไปไม่ได้
 
ก่อนนี้ ไช่เอ้อเป็นลูกศิษย์ของเหลี่ยงฉี่เชานักเคลื่อนไหวคนสำคัญในการก่อตั้งสาธารณรัฐ ก่อนไปศึกษาต่อด้านการทหารที่ญี่ปุ่น เมื่อจบการศึกษากลับมาเมืองจีน ก็ขึ้นเป็นผู้ว่าการมณฑลยูนนานคนแรกของยุคสาธารณรัฐ ก่อนจะถูกเชิญมารับตำแหน่งในรัฐบาลเป่ยหยางของหยวนซือไข
 
หยวนสือไข เป็นเสือเฒ่าผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพเป่ยหยาง กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ดังนั้น เพื่อไม่ให้เลือดท่วมแผ่นดินจากการเปลี่ยนแปลงระบอบ การทำข้อตกลงระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง กับผู้บัญชาการกองทัพเป่ยหยางจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
ผลลัพธ์คือ ดร.ซุน ต้องเปิดทางให้หยวนสือไขขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณะจีน หลังดำรงตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน
 
แต่มาบัดนี้ เสือเฒ่าได้หักหลังต่อหลักการประชาธิปไตย ใช้อำนาจกดดันให้สภาออกกฎหมายรองรับการตั้งตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ใหม่ ทั้งที่สาธารณรัฐจีนเพิ่งก่อตั้งได้ไม่ถึงสามปี แม่ทัพหนุ่มรู้ตัวว่า หยวนสือไขเห็นตนเป็นหอกข้างแคร่จึงถูกกักตัวอยู่ที่ปักกิ่ง แม่ทัพไช่เอ้อ อ่านแผนออกว่าหยวนสือไขส่งหยางตู้เพื่อนสมัยนักเรียนให้มาอยู่เป็นเพื่อน เพื่อคอยชักชวนให้ตนลุ่มหลงสุราและสตรี พร้อมกับคอยรายงานความเคลื่อนไหวของตนให้กับหยวนสือไข สำหรับเขาแล้ว ปักกิ่งไม่ต่างจากที่คุมขังขนาดใหญ่ จะมีเพียงห้องหับของแม่นางเสี่ยวฟ่งเซียนเท่านั้น ที่จะได้หลบเร้นจากคนของหยวนสือไข
 
แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าตนหลงรักเสี่ยวฟ่งเซียนตั้งแต่แรกพบ และเสี่ยงฟ่งเซียนก็ไม่ต่างกัน เขารู้ว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่หยวนสือไขวางเอาไว้ เป็นกับดักเพื่อให้ตนละทิ้งความสนใจต่อบ้านเมือง
 
แต่การได้อยู่กับเสี่ยวฟ่งเซียนคือความสบายใจเดียวของไช่เอ้อ แม่ทัพหนุ่มต้องใจเสี่ยวฟ่งเซียนทั้งน้ำเสียง หน้าตา บุคลิก และความเฉลียวฉลาดของเธอ แม้ว่าแม่ทัพไช่เอ่อแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่เมื่อได้พบกับนาง เขาก็รักทุกอย่างที่เป็นเสี่ยวฟ่งเซียน
 
แม่ทัพหนุ่มไปขลุกอยู่หอนางโลมตั้งแต่บ่ายจนมืดทุกวัน คนแถวนั้นเห็นภาพแม่ทัพหนุ่มเมามายสุรา หมกตัวอยู่กับนางโลมจนชินตา วันเวลาผ่านไป แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลค่อยเปลี่ยนพฤติกรรมไปเป็นคนล่ะคน วันๆ ไม่สนใจสิ่งใด เอาแต่เสพสุขไม่สนใจกระทั่งแม่ของตนเอง จนทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว เมื่อมีปัญหาหนักเข้าครอบครัวทนไม่ได้ถึงกับตัดความสัมพันธ์กับไช่เอ้อ หนีกลับไปยูนนาน
 
การแตกสลายของครอบครัว ยิ่งสร้างความช้ำใจให้แก่แม่ทัพหนุ่ม โหมดื่มสุราเมามาย กลายเป็นพวกขี้เมาไม่สนใจสาระใดๆ อีก
 
เมื่อหยางตู้รายงานเรื่องนี้แก่เจ้านาย หยวนสือไขถึงกับตบเข่าหัวเราะว่าเมื่อเจอกับมารยาของนางโลมน้อย แม่ทัพไช่แห่งยูนนานก็หน้ามืดตามัวได้ไม่ยาก แต่เสือเฒ่าย่อมไม่ทิ้งลาย คนอย่างหยวนสือไขไม่เคยประมาท สั่งให้หยางตู้และสายลับคนอื่น ติดตามดูพฤติกรรมของไช่เอ้อต่อไป
 
เวลาผ่านไป กิจวัตรของไช่เอ้อเหมือนเดิมทุกวัน และก็ยังอยู่ภายใต้การเฝ้าดูอยู่จากคนของหยวนสือไขอยู่ตลอด ส่วนเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์เฝ้ารอวันสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิหงเสี้ยนอย่างใจจดใจจ่อ ตลอดชีวิตเสือเฒ่าแสวงหาจุดสูงสุด บัดนี้ บัลลังค์มังกรอยู่ห่างไปเพียงกี่ก้าว
 
วันหนึ่งระหว่างที่หยวนสือไขกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานสถาปนาที่กำลังจะมาถึง ที่หอนางโลมหวินจี๋จัดงานฉลองวันเกิดเจ้าของหอ วันนี้มีผู้คนครึกครื้นเป็นพิเศษ ส่วนไช่เอ้อมาถึงหอนางโลมตั้งแต่เที่ยง ปรากฏกายในชุดเครื่องแบบโดยไม่สนใจสายตาแขกคนอื่นๆ
 
เมื่อมาถึงไช่เอ้อเข้าไปอวยพรวันเกิดเจ้าของหอนางโลม ก่อนขอตัวเข้าห้องเสี่ยวฟ่งเซียนเหมือนปกติทุกวัน คนของหยวนสือไข เฝ้ามองจากหน้าต่างอาคารไม้ฝั่งตรงข้ามเหมือนทุกครั้ง วันนี้หน้าต่างห้องเสี่ยวฟ่งเซียนเปิดอ้า เห็นไช่เอ้อถอดเครื่องแบบแขวนไว้ริมใหน้าต่าง สายลับเฝ้ามองจนพลบค่ำเหมือนทุกวัน แต่กว่าใครจะทันรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มไช่เอ้อไม่ได้อยู่ในห้องนั้น รถไฟขบวนปักกิง - เทียนจินก็แล่นออกจากสถานีไปไกลแล้ว
 
เสียงล้อเหล็กบดรางรถไฟออกจากปักกิ่งมุ่งสู่เทียนจิน เหลี่ยงฉี่เชา อาจารย์ของไช่เอ้อได้เตรียมตั๋วรถไฟไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว เพื่อไม่ให้ใครแกะรอยตามทันได้ง่าย เขาต้องหนีไปที่ญี่ปุ่นก่อนแล้วจึงหาทางกลับยูนนาน ส่วนครอบครัวก็กลับล่วงหน้ากลับไปที่ยูนนานก่อนแล้วเพราะคิดว่าไช่เอ้อติดสุรานารี จนเสียผู้เสียคน นั่นคือแผนการหลบหนีที่ถูกวางมาอย่างดี โดยครอบครัวไช่เอ้อไม่ได้ระแคะระคายแผนการนี้แม้แต่น้อย มีเพียงไช่เอ้อและเสี่ยวฟ่งเซียนร่วมมือกัน เพื่อเฝ้ารอจังหวะที่เหมาะสม ไช่เอ้อ แขวนเครื่องแบบไว้ตบตาสายลับที่อยู่ข้างนอก เปลี่ยนเสื้อผ้าลอบหนีออกจากนางโลม โดยปะปนไปกับแขกที่มาร่วมงานวันเกิด ใช้เส้นทางลัดเลาะตามตรอกตามซอย จนมาขึ้นรถไฟขบวนที่ตั๋วถูกเตรียมไว้ให้เขาแล้ว
 
หยวนสือไขนั้นเป็นคนฉลาดรอบคอบจึงกักตัวและพยายามซื้อใจไช่เอ้อ แม่ทัพผู้เปี่ยมอุดมกาณ์ ไม่ให้กลับไปสร้างฐานอำนาจกลับมาต่อต้านตนทีหลัง แต่เสือเฒ่าคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวฟ่งเซียนนางโลมแห่งหอหลินจี๋ รักไช่เอ้อและสนับสนุนอุดมการณ์สาธารณรัฐเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่คิดว่านางโลมตัวน้อยจะกล้าหาญทำสิ่งที่อาจนำภัยมาถึงตัวขนาดนี้
 
ดังนั้น แม่นางเสี่ยงฟ่งเซียน สาวน้อยนางโลม จึงได้กลายเป็นกุญแจดอกสำคัญในการดับฝันบัลลังค์มังกรของเสือเฒ่าผู้ทรยศชาติ และหยุดไม่ให้ประเทศจีนกลับไปอยู่ใต้ระบบจักรพรรดิอีกครั้ง ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน และความรักที่มีต่ออุดมการณ์
 
แผนการหลบหนีที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ก็เกิดขึ้นในห้องพักของเสี่ยวฟ่งเซียน ในหอนางโลมจี๋หลินนั่นเอง..
 
นั่นคือเหตุการณ์เล็กๆ ที่เกิดขึ้นในปักกิ่ง อันส่งผลยิ่งใหญ่ต่อประวัติศาสตร์จีน..
 
สยาม 2455
สีเขียวแก่ของเจ้าพระยาขับให้สีท้องฟ้า และสีเขียวอ่อนของต้นไม้ริมสองฝั่งดูสดใส เรือกระแซงไหลเอื่อยๆ ดวงตาไร้แววของเตียวฮกเหม่อมองออกไปไกล เรือสินค้าพาหัวใจสลายทวนน้ำเจ้าพระยาออกจากกรุงเทพฯ ย้อนไปกว่า 40 ปีก่อน เรือลำหนึ่งพาเตียวฮกมาพบชีวิตใหม่ในกรุงเทพฯ เวลานี้เรืออีกลำก็กำลังพาเตียวฮกออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปมีชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง ในห้วงระทมทุกข์ เตียวฮกเปรียบเทียบเที่ยวเดินทางข้ามสมุทรบนเรือสำเภาหัวแดงกับเรือกระแซงในแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว การเดินทางทวนแม่น้ำเจ้าพระยาไหลให้ความรู้สึกที่อบอุ่นใจกว่า เมื่อออกจากพระนครเข้าเขตชนบท ทัศนียภาพที่แตกต่างจากชนบทที่บ้านเกิดในเมืองจีนที่เคยเห็น หลายวันในคุ้งน้ำเป็นภาพทิวทุ่งนาเขียวสบายตา กลุ่มเด็กผมจุกเปลือยกายกระโดดน้ำริมตลิ่ง ฝูงปลาดำผุด-ดำว่าย หายใจเป็นฟองน้อยๆ บนผิวน้ำ
 
เรือสินค้าขาล่องนำข้าวสาร และสินค้าเกษตรจากปากน้ำโพมาขายที่กรุงเทพฯ ขาขึ้นก็นำสินค้าที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ อาทิเช่น หม้อ ไห ตะเกียง อาหารทะเลตากแห้ง น้ำมันก๊าด แวะจอดพักขายสินค้าตามหัวเมืองริมแม่น้ำระหว่างทาง ตั้งแต่นนทบุรีขึ้นไปถึงปากน้ำโพ
 
ระหว่างการเดินทางที่ตนไม่คิดไม่ฝันบนมารดรแห่งสายน้ำ คืน-วัน ช่างไร้ความหมายต่อเตียวฮก รู้เพียงแต่พระอาทิตย์มักจะขึ้นทางฝั่งขวาของแม่น้ำ และจะตกดินทางด้านซ้ายของเรือ เป็นไปเช่นนี้เอง รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมาถึงเมืองปากน้ำโพ เรือจอดพักหนึ่งคืนก่อนเดินทางขึ้นเหนือต่อไปโดยล่องทวนแม่น้ำปิงไปถึงเมืองตากเพื่อรับซื้อของป่า เรือแซงที่พาเตียวฮกระหกระเหินจากกรุงเทพฯ มาสุดปลายทางที่เมืองตาก เตียวฮกกล่าวคำขอบคุณและร่ำลาพ่อค้าเมืองปากน้ำโพผู้มีพระคุณ แม้จะหนีพ้นจากการตามล่าในกรุงเทพฯ มาได้ แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าปลอดภัยเพราะหัวเมืองเหนือของสยามก็ยังเป็นเขตอิทธิพลของบริษัทฝรั่งที่ทำสัมปทานไม้ให้รัฐบาลอังกฤษ แถมซ้ำเคราะห์กรรมที่โหมซัดทำให้หัวใจเตียวฮกไม่คิดจะพักอยู่ที่ไหนระยะยาว ไม่ปรารถนาจะผูกมัดหัวใจกับสิ่งใดไหนอีก ดังนั้น เมื่อพบขณะมิชชันนารีจากมะละแหม่งที่จะเดินทางไปเชียงรุ่ง แวะพักค้างคืนที่เมืองตากพอดี เตียวฮกจึงขอติดตามขบวนมิชชันนารีเดินทางไปเชียงรุ้งด้วย เมื่อรู้ว่าเตียวฮกได้เข้ารีตเป็นบุตรแห่งพระแม่มารีอา สังกัดมิซซัง คณะมิชชันนารีจึงยอมให้เตียวฮกร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะและผู้ช่วยลูกถ่อ
 
เตียวฮกติดตามคณะมิชชันนารี โดย การทำประโยชน์ช่วยเหลือเหล่าลูกถ่อพายเรือทวนแม่น้ำปิงลูกถ่อเป็นชาวพื้นเมืองล้านนา ทุกคนสักขักขระบนร่างกาย และสักสีดำทึบบริเวณต้นขา เตียวฮกออกแรงถ่อเรือกับชาวล้านนาอยู่ร่วมเดือนก็ผ่านเขตภูเขา ทัศนียภาพริมสองฝั่งแม่น้ำปิงนั้น มีมั้ง โตรกผา และไพรป่าลึกลับ ล่ามที่มาด้วยบอกกับคณะเดินทางว่า เดินทางทางบกจะยากลำบากมากเพราะต้องผ่านป่าดิบชื้น มีอันตรายจากทั้งสัตว์ร้าย และไข้ป่า โอกาสจะรอดชีวิตออกจากป่านั้นน้อยกว่ามาทางเรือนัก
 
คณะเดินทางทุกคนรู้ดีว่าสิ่งที่ลูกถ่อบอกกล่าวเป็นเรื่องจริง มีวันหนึ่งขณะเดินทางในเขตภูเขา เรือมาถึงบริเวณที่ลำน้ำปิงแคบขอด บรรดาลูกถ่อจึงต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้เรือแล่นไปข้างหน้า ระหว่างที่เตียวฮกกับลูกถ่อขะมักเขม้นออกแรงกัน มิชชันนารีคนหนึ่งที่ยืนอยู่บริเวณหัวเรือเผอิญเห็นเสือลายพาดกลอนตัวโตเต็มวัย มันกำลังหมอบซุ่มอยู่บนคบไม้ใหญ่ที่แผ่ออกมาจากริมน้ำ ความยาวของช่วงตัวไม่ต่ำกว่าสองวา วินาทีที่มิชชันนารีคนนั้นเงยหน้าขึ้นในเงาทึบของแมกไม้ เห็นเพียงสีอำพันของดวงตา กว่าจะรู้ว่าเป็นสัตว์ร้าย เสือทมิฬก็อยู่ห่างกับมิชชันนารีคนนั้นไม่ถึงสองวา หากไม่มีคนในเรือช่วยกันส่งเสียงตะโกนไล่ให้มันตกใจหนีไป เสืออาจจะกระโจนลงตะครุบใครสักคนแล้วเผ่นออกจากเรือขึ้นฝั่งได้ไม่ยาก สัตว์ร้ายลายพาดกลอนตัวนี้รู้จักจุดยุทธศาสตร์ของมัน คณะมิชชันนารีฝรั่งต่างไม่เคยมีใครเห็นสัตว์ใหญ่ที่น่าเกรงขามขนาดนี้มาก่อน คนที่สบตากับมันเล่าให้กันฟังภายหลังว่าวินาทีจ้องตากับมันเหมือนลืมตัวไปชั่วขณะ 
 
หลังการเดินทางทวนน้ำในป่าลึกหลายวัน ในที่สุด ทุกชีวิตในคณะเดินทางก็หลุดจากเกาะแก่งอันตรายนับสิบมาถึงเขตชายแดนเมืองเชียงใหม่และลำพูน เมื่อพ้นจากเขตป่า คณะมิชชันนารีแวะพักที่บ้านพักของ ดร.แมคเคียวแวรี ที่เชียงใหม่สองวันเพื่อพักผ่อนและเติมเสบียง ที่นี่เตียวฮกได้พบกับแหม่มซาร่า บรัดเลย์ และ ดร.ชีค ที่เป็นลูกสาวและลูกเขยของหมอฝรั่งโดยบังเอิญ แหม่มซาร่าตามสามีขึ้นมาทำธุรกิจค้าไม้ที่เชียงใหม่ แม้ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเตียวฮกสำนึกบุญคุณของหมอฝรั่งมาตลอด แต่เตียวฮกไม่กล้าแสดงตนว่ารู้จักหมอฝรั่ง เพราะถือว่าตนเป็นเพียงผู้ขออาศัยติดตามมากับคณะ และยังเป็นผู้ร้ายหนีคดีมาจากกรุงเทพฯ
 
หลังจากหยุดพัก คณะมิชชันนารีออกเดินทางต่อไปที่บ้านสบรวก เมืองเชียงแสน เพื่อลงเรือล่องทวนแม่น้ำโขงขึ้นไปที่เชียงรุ้ง
 
เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการการเดินทางจากเชียงใหม่ไปบ้านสบรวก คณะมิชชันนารีได้อาศัยขบวนช้างและควาญช้างท้องถิ่นจากบริษัทเลียวโนแวนส์ ของนายหลุยส์ลูกชายแหม่มแอนนาเป็นพาหนะ ระหว่างการเดินทางบนหลังช้าง คณะมิชชันนารีได้พบเห็นร่องรอยสัตว์ป่าขนาดใหญ่ทั้งรอยเท้าเสือ ลอยเล็บหมี และมูลกระทิง แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้เป็นอย่างดี นอกจากร่องรอยของสัตว์ป่า ยังพบเห็นชาวป่าชาวเขาหลายเผ่าซึ่งส่วนใหญ่ดำรงชีพโดยการทำไร่ฝิ่น
 
เมื่อคณะเดินทางมาถึงริมแม่น้ำโขงบริเวณบ้านสบรวก คณะเดินทางตัดสินใจหยุดพักเหนื่อย ที่บริเวณนั้น เตียวฮกเห็นทุ่งดอกไม้สีม่วงสวยสดชูช่อลานตา ทุ่งดอกฝิ่นทอดยาวขนานไปกับริมแม่น้ำรวก ผืนพรมสีม่วงสดพลิ้วเอนไสวตามแรงลม ตัดกับสีแดงของน้ำโขง ภูมิประเทศบริเวณนี้เป็นสามเหลี่ยมที่แม่น้ำรวกไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขงตั้งฉากกันเป็นสามแยก การเดินทางต่อจากนี้เตียวฮกรู้สึกว่าต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงอยู่ในอิทธิพลของอังกฤษ ส่วนฝั่งขวาแม่น้ำโขงเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
 
น้ำโขงสีน้ำตาลแดงกว้างใหญ่มีต้นกำเนิดยาวไกลถึงดินแดนหลังคาโลก  ผืนหิมะและธารน้ำแข็งจากที่ราบสูงธิเบตละลายกลายเป็นนทีแห่งสรรพชีวิต ไหลคดเคี้ยวมอบความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดิน คณะมิชชันนารีจากมะละแหม่งและเตียวฮกลงเรือทวนแม่น้ำโขง ผ่านแก่งหินตามรายทางไปอีกสิบสามวัน ก็มาถึงเชียงรุ้งเมืองหลวงของอาณาจักรสิบสองปันนา 
 
สิบสองปันนาเป็นอาณาจักรของชาวไทลื้อแบ่งออกเป็น สิบสองเมือง มีเมืองหลวงชื่อเชียงรุ้ง ผู้คนที่นี่แต่งกายสวยงามด้วยผ้าฝ้ายย้อมสี ชาวบ้านหญิง-ชายโพกหน้าผากด้วยผ้า นิยมเครื่องประดับที่ทำจากเงิน วัดก็สวยงามแตกต่างจากที่เคยพบเห็นทั้งในสยามหรือล้านนา ตลาดในเมืองคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายซื้อของ สินค้ามีทั้งสมุนไพร ของป่า ผ้า และเครื่องประดับ
 
ระหว่างหยุดพักที่เชียงรุ้ง เตียวฮกได้ยินขบวนพ่อค้าที่ขนสินค้าไปตลาด พูดคุยกันด้วยภาษาจีน ไม่ใช่ภาษาแต้จิ๋วเตียวฮกจึงใจความได้ไม่ได้มาก แต่ก็มั่นใจว่าเป็นกองคาราวานนี้เป็นคาราวานของพ่อค้าชาวจีนที่มาค้าขายในเชียงรุ้ง หลังพยายามสอบถามข้อมูล เตียวฮกจึงได้รู้ว่าเมืองจีนอยู่เหนือไปอีกไม่ไกล
 
ร่างกายเตียวฮกผ่ายผอม ตลอดการเดินทางที่กินเวลานับเดือน เตียวฮกกินอาหารเพียงวันล่ะน้อย เพียงเพื่อไม่ให้หมดแรงโดยไม่สนใจรสชาด แม้ได้พบเห็นวัฒนธรรมและภูมิประเทศแปลกใหม่ระหว่างทาง แต่หัวใจไร้ก้นบึงของเตียวฮกก็ไม่สามารถสัมผัสความสวยงามใด การเดินทางของจีนฮกเป็นเพียงเพื่อการหนีไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หนีการตามล่าของรัฐบาลสยามหรือพวกฝรั่ง หากหนีจากทุกความทรงจำในชีวิต เหลือเพียงคนเร่ร่อนไร้ชื่อ-แซ่ และไร้ผมเปีย ที่ว่ายทวนกระแสธารแห่งชีวิต
 
เตียวฮกขอบคุณและกล่าวอำลา คณะมิชชันนารีที่ร่วมเดินทางไกลมาด้วยกัน คณะมิชชันนารีพยายามชักเชิญให้เตียวฮกอยู่ด้วยกันที่เชียงรุ้งเพื่อช่วยกิจการทางศาสนา แต่เมื่อไม่เหลือสิ่งใดให้ชีวิตต้องผูกพัน เตียวฮกจึงตัดสินใจปฏิเสธคำชวน และออกเดินทางต่อโดยลำพัง ขณะก้าวเท้าพ้นเขตประตูเมือง น้ำตาเอ่อรื้นออกมาโดยไม่รู้ตัว เตียวฮกเพียงยกหลังมือปาดน้ำตาและเดินเท้าต่อขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ อาศัยขอแวะพักตามหมู่บ้านชาวภูเขา และชาวไทลื้อตามรายทาง เดินบ้างพักบ้างเป็นระยะเวลาสองเดือนกว่า ก็เตียวฮกมาถึงคุนหมิงด้วยสภาพคล้ายซากชีวิตเดินได้
 
เป็นเวลาแปดเดือน ที่เตียวฮกเดินทางเกือบหมื่นลี้จากกรุงเทพฯ ถึงคุนหมิงเมืองใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน ผู้คนในสมัยนี้แต่งกายแตกต่างจากเมืองจีนในความทรงจำของเตียวฮกในแต้จิ๋ว เด็กผู้หญิงจนถึงวัยโตเป็นสาวบางคน ไม่ได้รัดเท้าดอกบัว* อย่างที่นิยมทำกันในสมัยราชวงซ์ชิงแล้ว ส่วนผู้ชายที่ยังไว้ผมเปียผมเปียก็มีแต่คนเฒ่าคนแก่ คนจีนสมัยนี้แต่งกายแบบตะวันตกคล้ายหมอฝรั่งไปกันหมด
 
เตียวฮกในวัยย่างห้าสิบ ไม่เหลือแรงที่จะเดินทางต่อไปไหนอีก ครอบครับที่ซัวเถาก็ตัดขาดกันมาหลายสิบปีแล้ว จึงตัดสินใจยุติการเดินทางเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งที่คุนหมิง ด้วยประสบการณ์ทำงานระหว่างที่อยู่กับหมอฝรั่ง เตียวฮกก็ได้งานทำที่โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในเวลาไม่นาน ชีวิตใหม่ในวัยกลางคนของเตียวฮกดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทางเป็นหลักแหล่งในคุนหมิง เตียวฮกจึงส่งจดหมายฉบับแรกไปหาตั้งหย่งเส็ง
 
ตั้งแต่คืนที่ขึ้นเรือหนีออกจากกรุงเทพฯ เตียวฮกเก็บรักษากระดาษที่อยู่ของหย่งเส็งไว้เป็นอย่างดี เมื่อมาอยู่ที่คุนหมิง เตียวฮกเขียนจดหมายไปหาหย่งเส็งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง และขอร้องหย่งเส็งช่วยนำข่าวคราวของตนไปแจ้งครอบครัว
 
นับแต่เขียนจดหมายส่งไป เตียวฮกตื่นเต้นที่ได้จินตนาการถึงตอนที่จดหมายฉบับนี้เดินทางไปถึงกรุงเทพฯ เมียและลูกสาวต้องงจะดีใจมากแน่ๆ ที่พ่อยังไม่ตายและติดต่อมาหา จากนี้ไปขอตนเพียงทำงานอย่างขยันขันแข็งตั้งใจอดออมเงิน เพื่อจะได้พาครอบครัวมาอยู่ด้วยกันที่คุนหมิง เรา จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กันที่นี่ เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเหมือนดั่งความฝันอีกครั้ง
 
ระหว่างรอจดหมายตอบกลับ เตียวฮกที่ทำงานในหนังสือพิมพ์จึงได้เห็นข่าวสารสำคัญจากทั่วประเทศไหลจีนผ่านตา หลังจีนใหม่เข้าสู่ระบอบสาธารณรัฐเต็มตัวได้ไม่ทันไร ก็มีข่าวหยวนซือไข ผู้นำกองทัพเป่ยหยาง ใช้กำลังทหารกดดันสภาให้ลงคะแนนเสียงเลือกตนเป็นประธานาธิบดี ตามมาด้วยข่าวยุบพรรคก๊กมินตั๋งและการลี้ภัยของ ดร.ซุนยัตเซ็น
 
เส้นทางสู่ความรุ่งโรจน์ของสาธารณรัฐจีน ดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว...
 
ผ่านไปเกือบร่วมเดือนจดหมายจากกรุงเทพฯ ก็เดินทางมาถึงคุนหมิง เนื้อความจดหมายกระชับสั้นเพียงไม่กี่ประโยค “อั๊วดีใจที่รู้ว่าลื้อปลอดภัยดี ส่วนเรื่องครอบครัวลื้อ อั๊วไปตามหาแล้ว จึงได้รู้ว่าเมียลื้อแต่งงานใหม่ และย้ายครอบครัวออกไปจากชุมชนพระแม่ลูกประคำเมื่อเดือนที่แล้ว อั๊วส่งไม้กางเขน และรูปภาพที่ถ่ายร่วมกับหมอฝรั่งมาให้ รักษาตัวด้วย”
 
เมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบประโยคสุดท้าย เตียวฮกก็แตกสลายอีกครั้ง ชายกลางคนจากยุคเก่าคุกเข่าร่ำไห้หมดศรัทธาต่อพระบุตร พระจิต และพระบิดา จิตวิญญาณเตียวฮกดำมืดอยู่ในโชคชะตาใดที่ทำให้ชีวิตบิดเบี้ยว ไม่เข้าใจว่าโทษทัณฑ์ใดเล่าที่ทำให้ตนถูกพรากทุกอย่างไป ในหุบเหวแห่งความเสียใจ เตียวฮกคิดย้อนกลับไปถึงวันที่รอดตายบนเรือสำเภาที่ประสบพายุกลางทะเล
 
ตอนนี้เตียวฮกไม่แน่ใจเสียแล้วว่าชีวิตที่เหลือรอดมาจากวันนั้น คือ กำไรชีวิต หากสิ้นชีพหลับใหลใต้ทะเลไปวันนั้น อาจจะดีกว่านี้ก็ได้...
 
เตียวฮกดำเนินชีวิตในคุนหมิงต่อไปอย่างไร้ชีวา มีเพียงการทำงานที่นำพาวันเวลาให้ไหลผ่านเศษชีวิตที่แตกสลาย จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เส้นผมหงอกขาว ผิวหนังเหี่ยวแห้ง กระดำกระด่าง บ่อยครั้งที่เตียวฮกแวะไปเสพฝิ่นหลังเลิกงาน ถึงแม้ฝิ่นกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐ แต่ก็ไม่ใช่ของหายากขนาดที่จะหาไม่ได้ในเมื่ออังกฤษฝังรากฝิ่นในแผ่นดินใหญ่ เพื่อมอมเมาชาวจีนมาเนิ่นนาน
 
ณ โรงฝิ่นแห่งหนึ่งในคุนหมิง เตียวฮกนอนตะแคงหัวหนุนหมอนในมือถือประคองกล้องสูบสีดำ ดวงไฟที่วูบวาบตรงส่วนปลายกล้องสะท้อนในดวงตาไร้แวว สายควันถูกสูบผ่านเข้าร่างกายผอมเกร็ง ก่อนพ่นระบายออกมาในอากาศ คล้ายจิตรกรวาดภาพฝันบนความว่างเปล่า และมลายจางหายไปในอึดใจ เตียวฮกทอดร่างทิ้งตัวลงบนตั่ง แต่จิตใจกลับล่องลอยเคว้งคว้างสูงขึ้นไป บางคราลอยไปถึงทุ่งดอกฝิ่นสีม่วงงามริมแม่น้ำโขงที่เคยเห็น บางครั้งก็ลอยไปจนถึงชุมชนชาวคริสต์ริมแม่น้ำพระยา
 
ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผ่านตาระหว่างทำงานไม่มีแก่นสาระใดทั้งสิ้น มีเพียงความบางเบา และเคลิ้มลอยจากควันฝิ่นให้ไขว่คว้าเท่านั้น
 
 วันหนึ่งในห้วงภวังค์มืดมนของควันฝิ่นแห่งรัตติกาล เตียวฮกยืนเคาะประตูบ้านตัวเอง อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เมื่อประตูเปิดออกกลับมีชายแปลกหน้ายืนอยู่ในบ้าน หน้าตาของชายคนนั้นเลือนลาง ก่อนเตียวฮกจะอ้าปากเอ่ยสิ่งใด ชายในบ้านก็ตะคอกใส่หน้าว่า “ลื้อตายไปนานแล้ว!!”
 
เตียวฮกผวาลุกขึ้นนั่ง เพื่อพบว่าตัวเองนั่งเหงื่อโทรมกายในความมืดของโรงฝิ่น เตียวฮกยกสองมือปิดหน้า พยายามกลั้นน้ำตาอยู่เดียวดาย หูพลันได้ยินเสียงชายสองคนสนทนาอยู่แว่วๆ
 
“จริงหรือที่จอมพลหยวนซือไข จะปฏิเสธตำแหน่งจักรพรรดิ!?”
 
“มันเป็นอุบายมากกว่า ถ้าไม่คิดจะเป็นจักรพรรดิ เหตุใดจึงกดดันสภาให้ออกบัญญัติที่เป็นการฟื้นฟูระบบจักรพรรดิเช่นนี้ อย่าลืมว่าที่จอมพลหยวนได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน ดร.ซุนยัตเซ็น ก็เพราะใช้อิทธิพลทางทหาร การปฏิเสธครั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา และลดแรงต้านทานจากกลุ่มต่อต้านเท่านั้นแหละ นี่ได้ยินเขาลือกันว่าสภากำลังจะยื่นเรื่องนี้อีกครั้ง”
 
“ฝันเฟื่อง.. กว่าชาวจีนจะรวมพลังกันโค่นล้มราชวงศ์ชิงที่อยู่มากว่าสองร้อยปีได้ ต้องอุทิศชีวิตกันไปเท่าไหร่ ชาวจีนหลายสิบล้านคนไม่ได้ทางยอมรับใครหน้าไหนมาอยู่เหนือหัวอีก” จบประโยคจีนฮกก็ฝุบลงไปด้วยฤทธิ์ฝิ่น จำไม่ได้ว่า กล่าวประโยคนั้นออกไปหรือไม่ หรือเสียงนั้นดังแค่อยู่ในใจ..
 
วันต่อมา เตียวฮกไปทำงานที่โรงพิมพ์โดยที่ยังมีประโยคสนทนาจากโรงฝิ่นเมื่อคืนค้างคาในหัว ตั้งแต่ได้รับจดหมายที่หย่งเส็งส่งมาจากกรุงเทพฯ เตียวฮกก็ไม่เคยสนใจเนื้อหาข่าวที่ผ่านตาขณะแผ่นกระดาษไหลออกจากเครื่องพิมพ์อีก ไม่เหลือสิ่งใดให้สนใจใยดีทั้งสิ้น เมื่อได้ยินข่าวการฟื้นฟูระบอบจักพรรดิในโรงฝิ่นจึงคิดไปว่าเป็นข่าวเลื่อนลอยไร้สาระ แต่แล้ว สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเตียวฮกอีกครั้ง เมื่อหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า ลงข่าวจอมพลหยวนสือไขลงนามในกฎหมายสถาปนาตนเป็นองค์จักรพรรดิ แห่งศักราชหงเสี้ยน
 
ท้องไส้เตียวฮกปั่นป่วน คลื่นไส้ ไม่รู้ว่าเป็นฤทธิ์ค้างของฝิ่นหรือฤทธิ์ค้างของข่าวที่ตาเห็น ช่วงเวลาที่ผ่านมาตนไม่ได้สนใจข่าวใดๆ พอได้มารับรู้ว่า อุดมการณ์ประชาธิปไตยกำลังถูกหักหลัง จึงรู้สึกโกรธแค้น หลังต้องหลัดพรากจาครอบครัวเตียวฮกเฝ้าโทษตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ว่าหากไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ในแผ่นดินใหญ่ชีวิตตนก็คงไม่เป็นแบบนี้
 
แต่พาดหัวข่าวที่ฟาดหน้าทำให้เตียวฮกเปลี่ยนความคิด เมื่อมองจากมุมกลับตนได้แลกทุกอย่างในชีวิตเพื่ออุดมการณ์สาธารณรัฐไปแล้ว หากสิ่งนี้สลายกลายเป็นอากาศทุกอย่างที่ชีวิตแลกไปก็ไร้ค่า เตียวฮกในวัยตระหนักว่าอุดมการณ์สาธารณรัฐจึงเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ตนต้องปกป้อง
   
สองวันต่อมา แม่ทัพไช่เอ้อเดินทางกลับถึงคุนหมิง และประกาศจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ชาติ เตรียมทำสงครามกับจักรพรรดิผู้ทรยศประชาชน - เตียวฮกตัดสินใจเลิกฝิ่นและลาออกจากงานที่โรงพิมพ์ เพื่อเข้าร่วมฝึกในกองทัพพิทักษ์ชาติทันที 
 
สงครามต่อต้านการฟื้นฟูระบอบศักดินาก็ได้เริ่มต้นที่ยูนนาน ก่อนแพร่กระจายไปยังมณฑลอื่นให้ลุกขึ้นร่วมต่อสู้กับรัฐบาลหงเสี้ยนของจอมพลทรยศชาติ
 
เตียวฮกเข้าร่วมสงครามต่อสู้อยู่ปีกว่า กองทัพพิทักษ์ชาติก็ได้รับชัยชนะ หยวนสือไขฝันสลายยอมสละตำแหน่งจักรพรรดิ หลังจากเถลิงราชย์ได้เพียงแปดสิบหกวัน เสือชราบาดเจ็บลงจากบัลลังก์มังกรได้ไม่ถึงปีก็ป่วยตาย ปิดฉากชีวิตยิ่งใหญ่ของชายผู้ปราถนาความเป็นหนึ่งแม้ต้องขายอุดมการณ์
 
เมื่อจบศึก เตียวฮกถูกส่งไปรับราชการทหารที่มณฑลเสฉวน จนถึงปีที่แม่ทัพไช่เอ้อป่วยด้วยวัณโรค และไปเสียชีวิตขณะรักษาตัวที่ประเทศญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
 
วันนั้นเป็นวันที่ฟ้าครึ้มด้วยเมฆทึม ละอองฝนโปรยเบาบางขณะร่างแม่ทัพไช่เอ้อกลับมาถึงที่ปักกิ่งเพื่อเตรียมพิธีศพให้สมเกียรติ ในขบวนของผู้ที่มารอรับศพจอมทัพพิทักษ์ชาติ มีเสี่ยวฟ่งเซียนที่เพิ่งออกจากคุกยืนสะอื้นด้วยมิอาจกลั้นน้ำตา นางได้พบชายคนรักอีกครั้งแม้เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณในวันที่ฝนโปรยปราย
  
แม้เสือเฒ่าผู้ทรยศชาติจากไปแล้ว แต่แผ่นดินจีนก็แตกออกเป็นเสี่ยงด้วยขุนพลทางเหนือต่างตั้งตนเป็นใหญ่ ในขณะที่มหาสงครามทวีความรุนแรงเป็นวงกว้างขึ้น ญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีอาณานิคมของเยอรมันนีในแผ่นดินจีน เพราะต้องการเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์และขยายอิทธิพล แม้นระบอบศักดินาแบบจารีตโบราณล่มสลายลงแล้ว แต่แผ่นดินจีนยังไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งได้ 
 
หลังการเสียชีวิตของแม่ทัพไช่เอ้อ เตียวฮกผู้ใช้ชีวิตมาอย่างหนักหนาก็เหน็ดเหนื่อยเกินจะร่วมศึกในสมรภูมิใดอีก แผ่นดินจีนจะกว้างใหญ่ แต่โลกกว้างกว่าและหมุนเร็วเกินกว่าชีวิตคนหนึ่งๆ จะตามทัน เตียวฮกลาออกจากกองทัพโดยให้เหตุผลว่าแก่ชราเกินกว่าจะไปรบ เตียวฮกพาหัวใจอ่อนล้าในร่างอ่อนแรงกลับบ้าน เตียวฮกกลับถึงหมู่บ้านเสี่ยไจ๊ในเตี่ยเอี๊ย เดือนกุมภาพันธ์ 2460 หลังออกจากหมู่บ้านไปเป็นเวลาห้าสิบปี
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา