ประวัติศาสตร์จีนโดยสังเขป

-

เขียนโดย Domewriter

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 20.29 น.

  20 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,279 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 21.20 น. โดย เจ้าของเรื่องเล่า

แชร์เรื่องเล่า Share Share Share

 

19) ยุคราชวงศ์โจว 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

35)  โจวเลี่ย

♢ 375 - 369 BC  : ราชวงศ์โจวตะวันออก
           สมเด็จเจ้าองค์ที่ 35  โจวเลี่ย ชื่อเดิมว่า จีสี่  ในรัชสมัยปรากฏนักปราชญ์ ชื่อ เม่งจื๊อ หรือในทางตะวันตกรู้จักในชื่อ เมนเชียส มีชีวิตระหว่าง  385 หรือ 372 ถึง 302 หรือ 289 ปีก่อนคริสกาล  เม่งจื๊อเป็นนักปรัชญาชาวจีนเป็นคนเมืองจู ทาง ตอนใต้ของมณฑลชานตง มารดาชื่อเมิ่งหมู่
          เม่งจื๊อได้รับถ่ายทอดแนวความคิดของขงจื๊อมาจากสำนักขงจื้อ โดยขงจื้อ และหลานชายของขงจื๊อที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับเขา  
          เม่งจื๊อเรียนจบจากสำนักขงจื้อ  ก็เดินทางพเนจรออกสั่งสอนหลักความ คิดของเขา  และได้รับราชการที่อยู่พักหนึ่ง และก่อนที่จะลาออกจากราชการได้ แต่งหนังสือรวม 7 เล่ม เป็นบันทึกคำสนทนาโต้ตอบเกี่ยว กับหลักปรัชญา มีการ รวมรวบเข้าเป็น 4 เล่มใหญ่     และได้กลายเป็นรากฐานการ ศึกษาหลักปรัชญา ของเม่งจื๊อในเวลาต่อมา
          แนวคิดของเม่งจื๊อ กล่าวว่า ￿โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ทุกคนมีพื้นฐาน เป็นคนดีมาแต่กำเนิด แต่สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีต่างๆ ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไป￿     
          ซึ่งความคิดนี้ของเม้งจื้อได้ขัดแย้งกับซุนจื้อในสำนักขงจื้ออีกคน แต่ ความเห็นอื่นทั้งสองเห็นคล้ายคลึงกัน
          เม่งจื๊อเชื่อว่า ความดีทั้งหมด สามารถต่อเติมให้กับมนุษย์ได้ด้วยการศึกษา ศิลปะวิทยาการต่างๆ การศึกษาสามารถช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ปัญหา ไม่ได้มีสาเหตุเกิดจากประชาชน     แต่เกิดจากบรรดาผู้ปกครองที่ไม่ให้การศึกษา ฉะนั้นผู้ปกครองควรเป็นนักปรัชญาที่ดี หรือไม่ก็ควรให้นักปรัชญาที่ดีเข้ามาบริหาร ปกครอง ในกรณีที่นักปกครองไม่มีคุณสมบัติในการปกครองเช่นนั้น ในข้อนี้เน้นว่า ชนชั้นบริหารรัฐบาล ควรเป็นผู้ที่มีการศึกษา ผู้มีการศึกษาจะ สามารถเข้าใจปัญหา และเข้าใจถึงความต้องการของประชาชนได้ดี
          นอกจากนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับชนชั้นในสังคม  เม่งจื๊อสนับสนุนให้มีชนชั้น คือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง เม่งจื๊อกล่าวว่า￿ทั้ง 2 ชนชั้น มีหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุน ซึ่งกันและกัน ถ้าขาดผู้หนึ่งผู้ใดไป สังคมก็จะไม่สมบูรณ์
           โจวเลี่ยทรงครองราชย์ได้ 6 ปี ก็เสด็จสวรรคต      หลังจากนั้น องค์ชาย โจวเสี่ยน พระอนุชาก็ขึ้นครองราชย์บัลลังค์

36)  โจวเสี่ย

♢ 368 - 321 BC  : ราชวงศ์โจวตะวันออก
          สมเด็จเจ้าองค์ที่ 36  โจวเสี่ย ชื่อเดิม จีเปี่ยน ในรัชกาลของพระองค์ทรง ส่งของกำนัลไปยังเมืองขึ้นของราชวงศ์โจว เช่น ฉิน และ ฉู่
           ในช่วงปลายรัชสมัย  อ๋องแคว้นต่างๆ ประกาศตัวเป็นอิสระ และไม่นับถือ พระองค์เป็นปาอ๋องอีกต่อไป
            361 ปีก่อนคริสตกาล ฉินเซี่ยงกงแห่งแคว้นฉิน ซื้อขุนนางชางยางจาก แคว้นเว่ย์ มาเป็นที่ปรึกษาราชการ ช่วยพัฒนาแคว้นฉินจนแข็งแกร่ง

           360-350 ปีก่อนคริสตกาล    ซุนปินเป็นหลานของซุนวู  เติบโตในแคว้นฉี เมื่อถึงวัยหนุ่มก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ของ หวางสี่ ฉายาปราชญ์หุบเขาปิศาจ เรียกว่า กุ้ยกู้จื่อ

          หวางสี่มีศิษย์อยู่แล้วชื่อว่า ผังเจวียน ทั้งคู่เลยกลายเป็นสหายสนิท ต่อมา ผังเจวียนเรียนจบ ก็คำนับลาหวางสี่ลงจากเขา เพื่อไปแสวงหาความ สำเร็จ

          หวางสี่ บอกซุนปินว่า &ผังเจวียนเรียนวิชากับข้าจบ ก็รีบร้อนลงเขาไปเหลือ เจ้าแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นข้าจะสอนพิชัยสงครามซุนวูของปู่ ของเจ้าและกลศึกต่าง ๆ ที่ข้าทราบให้เจ้าจนหมดสิ้น จงตั้งใจเรียนให้ดี&

          หวางสี่สอนวิชาการศึกของซุนวูให้กับซุนปิน  ทางด้าน ผังเจวียน เมื่อลง จากเขาแล้วก็ไปถวายตัวกับเว่ยฮุ่ยหวางเแห่งแคว้นเว่ย  

          ผังเจวียนเข้าสวามิภักดิ์แคว้นเว่ย    พอเว่ยฮุ่ยหวางได้ฟังนโยบายและแผน การรบของผังเจวียนก็แต่งตั้งผังเจวียนให้เป็นขุนพลและมอบอำนาจทหารให้ทันที ซึ่งผังเจวียนช่วยแคว้นเว่ยทำศึกกับฉู่และฉินปกป้องดินแเดนได้ชัยมาได้

          ต่อมา เว่ยฮุ่ยหวางให้ผังเจวียนแนะนำเพื่อนที่เก่งๆ มารับใช้ราชสำนักเว่ย ดังนั้น    ผังเจวียนบอกว่า มีศิษย์ร่วมสำนักชื่อว่าซุนปิน เก่งกาจแตกฉานในด้าน กลยุทธ์ ถ้าได้เขามารับใช้แคว้นเว่ยจะครองแผ่นดินได้แน่

          เว่ยฮุ่ยหวางก็เลยส่งคนไปเชิญซุนปินลงจากเขา  ไปรับใช้ราชสำนักเว่ย

ซุนปินพอทราบว่าได้รับการแนะนำจากเพื่อนให้ไปรับใช้เว่ยอ๋อง ประกอบกับตน เรียนวิชาจากหวางสี่จนจบแล้ว เลยไปคำนับขอลาอาจารย์ลงเขาไป

          หวางสี่ก็เตือนซุนปินว่า ลงเขาไปให้ระวังให้ดี ผังเจวียนนั้นมีใจแคบ ริษยา จะทำอันตรายเจ้าได้

          ซุนปินพอไปเข้าเฝ้าเว่ยฮุ่ยอ๋อง ก็ช่างเจรจาพาที ทำให้เว่ยฮุ่ยหวังเลื่อมใส มาก และแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษาพร้อมทั้งประทานรางวัลมากมาย   ซึ่งนั่นทำให้ ผังเจวียนเริ่มอิจฉาซุนปินว่าจะมาแย่งความดีความชอบของตนเอง

          ผังเจวียนเลยวางแผนใส่ร้ายซุนปิน    โดยหาว่าเขาเป็นสายของแคว้นฉี เพราะซุนปินมีญาติอยู่ในแคว้นฉีหลายคน แถมสกุลเถียนที่เป็นฉีอ๋องรุ่นปัจจุบัน นับๆกันไปก็มาจากรากเดียวกับสกุลซุน คือเคยมีบรรพชนแซ่เฉินเหมือนกัน      

          แคว้นฉีถือว่าเป็นคู่แข่งอิทธิพลสำคัญของเว่ย   ทำให้เว่ยฮุ่ยอ๋องระแวง ซุนปิน และไม่ค่อยเรียกใช้เขาอีก   ต่อมา ผังเจวียนก็รวบรัดสร้างหลักฐานเท็จ ใส่ร้ายซุนปิน นำซุนปิงไปทรมานสอบสวนให้รับสารภาพ และจัดการตัดกระดูก หัวเข่าของซุนปิน เพื่อให้เขาเดินไม่ได้ และทิ้งเอาไว้ในคอกม้า

           ซุนปินแค้นผังเจวียนอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ซุนปินกลายเป็นนักโทษ ได้แต่ รอคอยโอกาส....เวลาผ่านไปหลายเดือน  ซุนปินก็วางแผนให้ผังเจวียน ตายใจ โดยการแสร้งทำว่าเสียสติ ขนาดเอาอาจมตัวเองมาเล่นหรือหยิบใส่ปากได้เฉยๆ  

           ทำให้ผังเจวียนและผู้คุมนักโทษเห็นว่า ซุนปินคงจะบ้าจริงๆ ก็เลยไม่ ค่อยสนใจเขาเหมือนช่วงแรกๆอีก

           วันหนึ่งมีคณะทูตจากแคว้นฉีมาเฝ้าเว่ยฮุ่ยอ๋อง ซุนปินก็ติดสินบนผู้คุม ให้ช่วยปล่อยปละละเลยเขาสักครู่   และซุนปินก็แอบคลานไปพบกับทูตแคว้นฉี ระบายความในใจและขอให้ทูตแคว้นฉีพาหนีออกไปโดยซ่อนตัวในเครื่องบรรณา การณ์ตอบแทนที่เว่ยหวังส่งไปถวายให้ฉีหวัง

           พอซุนปินไปถึงแคว้นฉี ก็ได้เข้าพบเถียนจี้   แม่ทัพคนหนึ่งของแคว้นฉี จากการพูดคุยทั้งคู่ถูกใจกันมาก เลยคบหาเป็นเพื่อนสนิทกัน และซุนปินก็อาศัย อยู่ในจวนของเถียนจี้

            วันหนึ่ง  เถียนจี้พาซุนปินไปชมการพนันแข่งม้า   แต่ม้าของเถียนจี้ แพ้ บ่อยๆ และเสียเงินพนันทุกที  ซุนปินสังเกตไม่นานก็มองออกว่า ม้าแข่งมี 3 เกรด คือ ม้าชั้นดี, ม้าชั้นกลาง และม้าชั้นเลว เลยเสนอให้เถียนจี้วางพนันม้าแบบแข่ง 3 รอบ ชนะ 2 ใน 3  ถือว่าได้เงินไป   และให้เถียนจี้เอาม้าชั้นเลวไปแข่งกับม้าชั้นดี ของฝ่ายตรงข้าม, เอาม้าระดับกลางไปชนกับม้าชั้นเลว  และม้าชั้นดีแข่งกับม้าชั้น กลาง

           เถียนจี้เอาชนะการพนันได้เงินกลับไปมากมาย ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสที่มี ต่อซุนปินเป็นเท่าทวี

           354  ปีก่อนคริสกาล ซุนปินเสนอให้เถียนจี้บุกเข้าแคว้นเว่ยแทน แคว้น จ้าว เพราะหากยกขึ้นเหนือข้ามแม่น้ำไปตีแคว้นจ้าว ก็ต้องปะทะกับกองทัพของ ผังเจวียนตรงๆ สู้ยกเข้าตีแคว้นเว่ย  ค่อยๆ บีบเข้าล้อมแดนต้าเหลียง ก็จะทำให้ ผังเจวียน ต้องถอยทัพลงใต้มาเอง และก็เป็นดังคาด พอกองทัพฉีข้ามแนวป้อง กันเขตแดนของแคว้นเว่ยมาได้

          เว่ยฮุ่ยหวังก็ต้องส่งราชโองการไปเรียกผังเจวียนถอนทัพกลับมารักษา ดินแดนในแคว้นเว่ย     และกองทัพของผังเจวียนก็โดนกองทัพฉีลอบโจมตีที่ กุ้ยหลิง เสียหายยับเยินไปไม่น้อย

           344 ปีก่อนคริสตกาล เว่ยฮุ่ยหวังเป็นประธาน สนับสนุนให้จัดการประชุม เจ้าแคว้นทั้ง 7 ขึ้น การจัดงานประชุมเป็นประเพณีโบราณ เพื่อให้เจ้าแคว้นต่างๆ  มาร่วมกัน ถวายความภักดีต่อแคว้นโจวที่เป็นผู้นำสูงสุดและเพื่อดูทิศทางของเหล่า แคว้นทั้งหมด

            เจ้าแคว้นต่างๆ  ได้กรีดเลือด ดื่มเหล้าสาบานตนว่า จะภักดีต่อราชวงศ์ โจว  เจ้าแคว้นที่ได้กรีดเลือดสาบานคนแรกก็เสมือนเป็นประมุขหรือประธานของ เหล่าแคว้นทั้งปวง   แสดงความภักดีต่อราชาโจวที่ตอนนี้เป็นกษัตริย์ที่ไร้อำนาจ ในการสั่งการเจ้าแคว้นต่างๆ

            แคว้นเล็กใหญ่ต่างส่งคนมาร่วมมากมาย ทั้งแคว้นจงซาน, แคว้นเจิ้ง, แคว้นซ่ง, แคว้นฉิน, แคว้นจ้าว, แคว้นเหวย ขาดแต่เจ้าแคว้นหานที่ไม่ยอมมา ร่วมงานพิธี เท่ากับว่า แคว้นหานประกาศตัวเป็นศัตรูกับราชวงศ์โจว

           342 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพเว่ยนำโดยผังเจวียนก็นำทัพบุกแคว้นหาน

งานนี้แคว้นหานก็เลยขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นฉีและจ้าวที่เป็นพันธมิตร ซึ่ง แคว้นฉีก็ออกโรงเหมือนเดิม โดยส่งเถียนจี้และซุนปินไปช่วยแคว้นหาน

          ซุนปินใช้แผนเดิมคือบุกไปตีแดนต้าเหลียง เพื่อให้กองทัพของ ผังเจวียน ที่ล้อมแคว้นหานยกทัพขึ้นมาทางเหนือ

          ผังเจวียนนั้นคาดว่า   ซุนปินจะใช้แผนนี้เช่นกัน เขาเตรียมการรับมือไว้ พอ กองทัพฉีข้ามแนวป้องกันของเว่ย กองทัพของผังเจวียนรีบขึ้นเหนือไปโจมตีทันที  แต่ซุนปินวางแผนไว้อีกชั้น      โดยทำการถอยทัพหนีทัพเว่ยที่บุกไล่ตามซุนปิงให้ ทหารลดจำนวนเตาไฟที่ใช้หุงหาอาหารลง เพื่อหลอกกองทัพเว่ยว่า ทหารฉีมีไพร่ พลน้อยลงเรื่อยๆจากการหนีทัพ   ทำให้ผังเจวียนนำทหารไล่ตามอย่างรีบร้อนมาก ขึ้น จนถูกซุนปินล่อเข้าไปที่ดอยหม่าหลิง     และนำทหารล้อมสังหารกองทัพของ ผังเจวียนพ่ายแพ้        

          ภายหลังจากศึกครั้งนี้ ซุนปินก็เร้นกายหายไปจากประวัติศาสตร์ ทิ้งเอาไว้ แต่เพียงตำราพิชัยสงครามซุนปิน

          เมื่อสิ้นผังเสวียน เว่ยฮุ่ยอ๋องต้องยุติความยิ่งใหญ่ของแคว้นเว่ย และการ เป็นประธานของเหล่าเจ้าแคว้นลง

           หลายปีต่อมา ฉีเวยอ๋องเป็นประธานจัดงานประชุมเจ้าแคว้น เว่ยฮุ่ยอ๋อง ต้องยอมไปร่วมกรีดเลือดสาบานตามแคว้นฉี

          เมื่อแคว้นเว่ยตกต่ำลง  แคว้นฉินแผ่ขยายอำนาจมาทางตะวันออก ได้ สะดวกมากขึ้น

           332  ปีก่อนคริสตกาล ในรัชสมัยหานเชี่ยนฮุ่ย แคว้นหานได้ประกาศตัว เป็นอาณาจักรอิสระและถึงช่วงการตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

            โจวเสี่ย ทรงครองราชย์ 47 ปี ก็เสด็จสวรรคต   หลังจากนั้น องค์ชาย โจวเชิ่นจิ้งขึ้นครองราชบัลลังค์

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องเล่า

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องเล่าเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา