ห้วงหนึ่งของความคิด

7.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.28 น.

  5 ตอน
  26 วิจารณ์
  10.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มกราคม พ.ศ. 2557 15.38 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ดู เอา ผม(ไม่) ได้คิดถึง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ยามเช้าที่อากาศทิ้งหนาวเข้าสู่หน้าร้อน มันช่างแห้ง และอบอ้าว  เสียงนาฬิกาปลุกวันนี้เป็นเสียงที่หนักหน่วงสำหรับผมอย่างมาก  หนักพอ ๆ กับหนังตาและภาระหน้าที่ ที่คุณแม่และป๋าทิ้งไว้ให้  กับลูกอย่างผม ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ผมกดปิดเสียงหน้าหนวกหูของนาฬิกาด้วยการทุบ ความสะใจปนเจ็บแล่นวน ๆ ในหัว  ก่อนจะขืนลืมตาขึ้นมองวันใหม่อย่างยากจะฝืนตัวเอง  แสงแลกของวันเป็นแสงจากโคมไฟที่ข้างเตียง มันทำให้ผมนึกขึ้นได้ถึงความสะเพร่าของตัวเองที่ลืมปิดไฟและหลับไป  เมื่อคืนผมอ่านหนังสือจนดึกมาก  ด้วยความรู้สึกเหงาที่จำเป็นต้องหาทางระบายออก หนังสือจึงเป็นเพื่อนในยามนั้นที่ผมเลือก 
 
                ผมบิดขี้เกียจ เหยียดแขนขึ้นสุดลำตัว  ก่อนจะห้าวอีกครั้งใหญ่ ๆ อาการง่วงงันยังคงมีอยู่เสมอสำหรับผม มันเหมือนเป็นสิ่งตามติด จนบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าผมนั้นสันหลังยาวเสียแล้ว  อย่างว่าความขี้เกียจไม่เข้าใครออกใครหลอก ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปร้างหน้าแปลงฟันในห้องน้ำ ผ่านกระจกบานใหญ่และโพสต์อิทใบเก่าที่ติดไว้อยู่หน้ากระจกสามสี่แผน  ที่คุณแม่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องและติดเอาไว้  บางครั้งก็รู้สึกฉุนนิด ๆ ที่ท่านชอบเข้ามายุ่งกับของ ๆ ผมในตอนที่ผมไม่อยู่บ้าน แต่เมื่อถามว่าค้นอะไร คำตอบของท่านก็ทำให้ผมซะงักแทบจะใบ้กิน  มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากทุกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของแม่ ไม่ว่าจะเป็น  หาหนังโป๊, หนังสือโป๊, รูปคู่ของแม่, เงินที่ป๋าซ่อน, หรืออันล่าสุด หนังสือเกย์  ผมละเชื่อแม่เลยกับอันล่าสุด วันนั้นผมละอย่างจะหาแฟนเป็นผู้ชายมาแกล้งแม่  แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นเพราะวันต่อมาก็เจอโพสต์อิท อันใหม่และไม่เจอตัวแม่กับป๋าอีก  “ไปฮันนีมูน กันสองคน แกดูแลพี่กับอู่ด้วย”
 
                เสียงน้ำจากอ่างล้างหน้าดังขึ้นเพียงเสียงเดียวในบ้าน  สายน้ำเย็นถูกวักล้างหน้าหลังแปรงฟัน   ความรู้สึกจากสัมผัสเย็น ๆของสายน้ำ ทำให้ความง่วงหลบพักไปได้ซักระยะ และปลุกให้ผมตื่นอย่างเต็มตา ก่อนความคิดจะเรียบเรียง สิ่งที่ต้องทำของวันนี้  พร้อมกับถอนหายใจออกมายาว ๆ  ต้องคุมอู่ มันเป็นเรื่องยากมากกับการคุมลูกน้อง ซึ่งแม่และป๋าทิ้งให้ทำคนเดียว  ตลอดเวลาที่ทำงานในอู่กับป๋าไม่เคยให้คุมเลย ผมเป็นแค่ช่างคนหนึ่งเท่านั้น แล้วแบบนี้ผมจะทำอย่างไรหนอ ? ผมคิดไปก็น้ำตาตกใน  แม่นะแม่ คอยดูกลับมาแล้วผมจะหนีเที่ยวบ้าง
 
                หลังกิจวัตรประจำวันตอนเช้าจบลง ผมเดินทำหน้าเฉื่อยชา ลงมาชั้นล่างของบ้านด้วยความเงียบ ก้อนความเหงาเริ่มก่อตัวเหมือนด้ายไหมพรมที่ม้วนเป็นก้อนกลม ๆ เริ่มจากเล็กและใหญ่ชัดขึ้น  บ้านที่เคยดังไปด้วยเสียงทีวี และเสียงบ่นของแม่ ในตอนนี้มันช่างเงียบเหงา ไม่มีเสียงใดดังพอจะทำให้เป็นเสียงที่น่าสนใจเลย ผมถอนหายใจอย่างเซ็งในอารมณ์ของตัวเอง จะมานึกเหงาเอาอะไรในตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนหนีเสียงบ่นของแม่แทบตาย  คนเราบางครั้งก็แปลกเคยบอกนักหนาว่าไม่ชอบสิ่งนั้น แต่ก็เหมือนขาดและอดหวนนึกถึงไม่ได้  มันเป็นเรื่องที่อธิบายได้หรือเปล่า?
 
                ผมเดินก้าวลงบันได และตรงไปที่ห้องครัวอย่างเหม่อ ๆ หลังอาบน้ำเสร็จ อารมณ์ของผมกำลังเคลื่อนวนไปมาอย่างแปลกประหลาด คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างไม่หยุดนิ่ง บางครั้งก็นึกว่าตัวเองอาจจะบ้าไปแล้วก็เป็นได้  เมื่อผ่านโซฟาหน้าทีวีก็ต้องอดไม่ได้ที่จะต้องหยิบรีโหมดเปิดทีวี  ภาพเก่า ๆ ในทุก ๆ เช้าที่ป๋ากำลังนั่งจิบกาแฟและดูข้าวพร้อมกับแม่ หวนกลับชัดคืนในความทรงจำ ก่อนผมจะละสายตาจากโซฟาและหน้าจอทีวี มุ่งตรงไปที่ครัว  ด้วยความหิวที่เริ่มตีกลองท้องร้องประท้วง
                ประตูตู้เย็นถูกเปิดออก ไอเย็นแผ่ออกมาสัมผัสร่างกายของผมอย่างหวาด ๆ ทั้งตู้เย็นมีเพียงนมอยู่ สองขวดใหญ่เท่านั้น คิ้วของผมกระตุกทันทีที่ไม่เห็นของสด หรือสิ่งใดเลยนอกจากนมจืด  มีโพสต์อิท แปะอยู่ตรงขวดว่า “โตไวไวนะ” ผมละอยากจะจับขวดนั้นปาทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด  อย่างน้อยน่าจะทิ้งของทำกินไว้ให้บ้าง
 
                ผมเดินออกจากครัวด้วยอารมณ์หงุดหงิด  ท้องที่หิว  และกระดาษโพสต์อิท ของแม่  บอกให้โตไว ๆ แต่กลับไม่ห่วงเรื่องปากท้องลูกเลย ด้วยอารมณ์หงุดหงิดทำให้ผมลืมนึกถึงบางสิ่งไป ผมเดินมาปิดทีวีและวิ่งขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบ ด้วยความรู้สึกหิวที่พร้อมจะกินทุกอย่าง   มันทำให้ลืมอารมณ์เหงาที่กำลังก่อตัวไปได้  ผมคว้าหนังสือ แล้วยัดใส่กระเป๋าสะพายอย่างระวัง ก่อนจะคว้ากุนแจรถมอเตอร์ไซค์  หยุดยืนนิ่งอยู่กลางห้องเพื่อดูว่าไม่ลืมอะไรแล้ว มันเหมือนมีบางอย่างแปลกไปในวันนี้ ผมมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเห็นเงาตัวเองในกระจก  ภาพตรงน้าคือหน้าตาที่เบื่อหน่าย และชุดเสื้อยืด กางเกงใส่อยู่บ้าน   ผมลืมเปลี่ยนชุดนี้เอง 
 
                เด็กเดี๋ยวนี้สมาธิสั้นนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างอาม่ามักจะว่าผมบ่อย ๆ  ผมจะไม่เถียงม่าเลยหากได้เจอตัวเองในวันนี้ก่อน เมื่อผมวิ่งออกพ้นประตูบ้านด้วยความเร่งรีบ และหิวโหย ผมก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อมีความคิดบางอย่างไหลเข้ามาในหัว ยืนเคว้งอยู่หน้าบ้านพร่างนึกคิดอีกครั้ง  ก้มลงมองตัวเอง อื่ม ก็ปกติ ผมเปลี่ยนมาใส่เสื้อเปื้อนน้ำมันเครื่อง เพื่อที่จะเลยไปอู่ ความรู้สึกที่เหมือนเราลืมอะไรบางอย่างก็ยังคงวิ่งวนในหัว หันไปมองต้นไม้ รั่ว ประตู อ่อ ผมลืมล็อคประตูบ้านนั่นเอง เกือบถูกกวาดทั้งบ้านแล้ว
 

..
..
.
 
                ตลาดในตอนเช้าแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา          นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มาซื้อของที่นี่  มีครั้งหนึ่งที่แม่เคยใช้ให้มาจ่ายตลาดแทน ส่วนตัวแม่นั้นนั่งรอดูรายการโปรด  นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมจ่ายตลาด รับปากแม่ด้วยความกระตือรือร้น และมุ่งมั่น ที่เต็มเปรี่ยม แต่วันนั้นก็เหมือนเป็นวันที่ผมรู้จักกลับตัวเองในที  หลังจากกลับจากตลาดมาผมยื่นคำขาดให้แม่ว่าจะไม่ไปจ่ายตลาดให้อีก   ผมค้นพบว่าตลาดนั้นแสนวุ่นวายและเสียงดัง  และค้นพบตัวเองอีกด้วยว่าผมรู้สึกไม่ชอบที่แบบนี้เอาเสียเลย
 
                ยังไงเรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อนเสมอ ผมเดินหิ้วถุงกับข้าวและข้าวสวยกลับมาที่รถอย่างใจลอย ในห้วงความคิดเหมือนจะพึ่งมองเห็นภาพของแม่มาตั่งแต่เช้า  พึ่งรู้ตัวเองหรือไงกันนะว่ากำลังคิดถึงสิ่งที่แม่ทำและเคยทำกับแม่  แบบนี้จะเรียกว่าการโหยหาได้หรือเปล่า แต่ผมก็เป็นแค่เด็กจริง ๆ ถ้าผมกำลังคิดถึง ทั้ง ๆ ที่อีกไม่กี่วันแม่และป๋าก็กลับ  แต่อย่างว่า ความคิดถึงและโหยหานั้นมันเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าจะ อายุเท่าไหร่ก็ตาม
 
                มอเตอร์ไซค์ของผมออกตัวอีกครั้งไปบนท้องถนนที่มีรถวิ่งกันอย่างวุ่นวาย  แม้จะไม่ใช้ในเมืองใหญ่หากเป็นแค่ตัวอำเภอก็ยังมีรถมากในตอนเช้า ทั้งรถส่งนักเรียน รถของคนที่ทำงานเช้า ล้วนแต่เร่งรีบทั้งนั้น  ผมขับรถด้วยความสบายใจไปอย่างช้า ๆกินลมชมรถและปล่อยความคิดให้ล่องลอย อากาศในตอนเช้าหากมองข้ามกลิ่นควันจากรถยนต์ก็นับว่าวันนี้อากาศสดชื่นพอตัว  หากออกมาสายกว่านี้คงร้อนมาก   ป่านนี้ที่อู่พี่สาย นายชั่งรองจากป๋าคงเปิดอู่เรียบร้อยแล้ว เมื่อนึกถึงงานวันนี้มันทำให้ผมเกิดกังวนขึ้นมาอย่างประหลาด  ผมไม่ใช่คนกังวนกับเรืองแบบนี้นัก แต่ความรู้สึกของผมมันตรงเสมอ  ดีก็ตรงที่วันนี้ ผมเป็นคนคุมงาน
 
                ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย ที่ทำงานของวันนี้ อู่ใหญ่แต่คนงานน้อยของป๋าไม่ใช่ว่าขี้เหนียว  ช่างที่ทำงานที่นี้เหลือแต่คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น  แต่ก่อนก็มีช่างมาก แต่ก็ช่างขโมยมาก จนป๋าอดทนไม่ได้และเศร้าใจอย่างสุด ๆ การที่เราไว้ใจในคนงานที่จ้างคือสิ่งที่ป๋าสอนผมตลอด  หากเราไว้ใจคนอื่นก่อนคนอื่นก็จะให้ความไว้ใจเราตอบกลับมา แม้วันที่ป๋าถูกขโมยป๋าก็ยังไว้ใจคน ๆ นั้นว่าจะไม่ปากโป้งเรื่องที่ป๋ายิงเขาเข้าที่เท้า เรื่องจบลงอย่างเงียบ พร้อมกับความรู้สึกที่ผมมองป๋าเปลี่ยนไปเล็กน้อย  ป๋าที่ใจดีและสอนลูกด้วยเหตุผลมาตลอดน่ากลัวขึ้นมาในสายตาผมและพี่  แต่ก็มีเรื่องที่แปลก และคาใจผมมาจนถึงวันนี้  ตั่งแต่วันที่เราถูกขโมยครอบครัวเรากลับรักกันมากขึ้น อย่างน่าประหลาด  แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีละมั้งครับ
 
                ผมเดินเข้าไปในอู่อย่างเร่งรีบเมื่อนึกขึ้นได้ถึงความหิว ท้องของผมก็เริ่มส่งเสียประท้วงอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง ถ้าหากชีวิตของคนเราไม่หิว คงจะขาดสีสันหน้าดูเลย ผมคิดว่าอาการหิวของคนเราเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิตไม่ผิดแน่  เมื่อเราหิวอาหารธรรมดาจะกลายเป็นอาหารจากโรงแรมชั้นเลิศเลยทีเดียว
 
 
                “นายมาแล้วเหรอ หิ้วอะไรมาเยอะแยะ” พี่สายส่งเสียงทักมาจากใต้ท้องรถ  พี่เขาเป็นคนขยันมากแต่ก็ไม่มีแฟนเสียที บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้นมาว่ามันเป็นข้อเสียหรือความซวยของคนขยันกันนะ?
 
                “ข้าวครับพี่สาย ดูดิป๋ากะแม่ไม่ห่วงผมเลยทั้งตู้เย็นมีอยู่แค่นมจืด หิวไส้จะขาดเลย” ผมบ่นออกมาอย่างอนทนหาที่ระบายมานาน รู้สึกโล่งขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วรีบวิ่งไปที่ครัวทันที  ก็มันหิวนิครับ
 
                อาหารเช้าเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่อาหารเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ผมเห็นด้วยกว่า น้ำสะอาดซึ่งผมคิดว่ามันสะอาด ไหลจากก๊อกกระทบผิวจานดังซ่า ชำละล้างคราบน้ำยาล้างจานก่อนก้อนความคิดของผมจะ ผุดคิดถึงป๋าที่มักจะใช้ให้ล้างจานที่อู่อยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะกินกันเมื่อไหร่ กี่ใบก็จะเก็บไว้ให้ผมล้าง เสมอ  มีครั้งหนึ่งที่เคยถามว่าทำไมไม่ล้างกันเองบ้าง คำตอบที่ป๋ามีให้คือไม่ขยัน  ผมไม่แปลกใจเลยที่ป๋ากับแม่จะคบกันยืดยาวตั่งแต่จบมัธยมปลาย นึกถึงแล้วก็คิดถึงสองคนนี้ ผมปิดก๊อกน้ำ นำจานไปจัดให้เข้าที่อย่างเหม่อลอย ก่อนจะสะดุดบางอย่างบนพื้น ทำให้ผมหน้าคะมำประคองจานแทบไม่ทัน  เมื่อทรงตัวได้แล้วผมหันไปดูของสิ่งนั้นทันที  แล้วก็ต้องแปลกใจปนโกรธ  น้ำตาแทบตกใน นั้นมัน กางเกงยีนที่หายไปของผม มันกลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปเสียแล้ว คอยดูสิกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะเก็บเงินแม่ให้หนักเลย 
 
               อะ นึกถึงแม่และป๋าอีกแล้ว
 
                มาลองคิดดูแล้วเมื่อคนสำคัญหายไป มันก็เหงาแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าเขาจะกลับมาในซักวัน  แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้เมื่อมีเรื่องที่มาสะกิดต่อมความจำ นี้หรือเปล่าที่มาของคำถามที่ว่า “จากเป็นกับจากตาย  อันไหนดีกว่ากัน” เมื่อผมได้ยินคำถามนี้ในครั้งแลก ผมมีคำตอนให้ในทันที  “ไม่มีดีซักอัน”  ผมจัดเรียงจานเสร็จอย่างระวัง  เพราะมีครั้งหนึ่งเคยทำแตกทั้งแผง ด้วยความประมาทของตัวเอง  ก่อนจะพาร่างเนือย ๆ เดินไปที่ตู้เย็นหวังว่ามันคงจะมีของว่างกินบ้าง มือจับเปิดตู้เย็นด้วยความระทึกและลุ้น  ประตูตู้เย็นค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไรของเช้าวันนี้  ที่ผมนึกถึงเขาสองคนซ้ำอีก  ในตู้เย็นมีเพียง นมรสกล้วยหอมหนึ่งโหล กับโพสต์อิทที่เป็นลายมือของป๋า  “ไปทำงานซะ ไอ้เบื่อ”
 
                โพสต์อิทแผ่นนั้นถูกดึงออก แล้วพับใส่กระเป๋ากางเกง  หันมองดูนาฬิกาบนผนังอย่างเซ็ง ๆ เวลาเกือบสายแล้ว ที่ข้างนาฬิกามีรูปครอบครัวเราอยู่  ในรูปยังอยู่ครบทุกคนอยู่เลย  อาม่ากำลังนั่งเก้าอี่โยกอยู่ตรงกลาง  เฮ้อ นึกแล้วก็คิดถึงอาม่า  ถ้าท่านยังอยู่ คงไม่เหงาขนาดนี้ 
 
                เสียงรถแล่นเข้ามาในอู่  ลูกค่าเริ่มรถเสีย   ผมเริ่มวุ่นวาย คนเราคงต้องพักเรื่องเหงาไว้ หลังทำงานเสร็จแล้วหละ
               
 ------------------------------------------------------------
เอาลง จนได้ เรื่องนี้ก็คงเหมือนเรื่องอื่น ๆ ผมคงมีคำผิดเยอะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ 
 
หวังว่าคงชอบไม่มากก็น้อย
 
 
               
 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา