The Dark World มหาสงครามออนไลน์กู้ปฐพี

9.7

เขียนโดย Jalando

วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 19.53 น.

  174 LV
  22 วิจารณ์
  141.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 01.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

164) พลังปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก

เครดิตภาพจาก  https://rare-gallery.com
 
       มารร้ายทั้งสิบตนแสยะยิ้ม แล้วตะโกนอย่างพร้อมเพรียง ราวกับทหารหาญที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี
 
" เพลิงทมิฬจงแผดเผาอริของข้า "
        
 
      ถึงอากิเนะจะมองไม่ค่อยเห็น แต่หูยังทำงานอยู่ จึงรู้ว่าเหล่ามารร้ายร่างแยกคิดจะทำอะไร ในใจนึกปลงตกต่อโชคชะตา
 
" แย่แล้ว นี่มันเวทระเบิดตัวเอง แถมคราวนี้ยังใช้พร้อมกันถึง 10 ตน เราไม่รอดแน่ "
       
 
      แสงสว่างแรงกล้าแผ่มาจากมารร้ายร่างแยกทั้งหมด ไม่นาน กายของอมนุษย์ก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ สิ่งที่ปรากฏลำดับถัดไปก็คือ.....เพลิงทมิฬที่พวยพุ่งขึ้นมา กะประมาณด้วยสายตา น่าจะสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร
 
" ตูม........"
       
 
     มารร้ายร่างต้นรีบถอยหนี เนื่องจากไฟนรกสีนิลกำลังขยายขอบเขตออกมา เพียงพริบตา ก็กินพื้นที่ไปถึง 30 เมตร
 
" เยี่ยม รุนแรงกว่าที่คิด แต่ยังไม่พอหรอก " มารร้ายยังไม่วางใจ จึงกระโดดขึ้นไปลอยตัวอยู่กลางอากาศ พร้อมเปล่งออร่าสีดำที่รุนแรงออกมา
 
" เมเทโอ "
       
 
       ลูกบอลพลังงานสีดำนับสิบแผ่กระจายออกมาจากมารร้าย ทุกลูกมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะมนุษย์เล็กน้อย แถมยังปรากฏไฟฟ้าไหลเวียน ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัว แต่อมนุษย์ไม่ยอมยืดเยื้อ เพราะรู้ดีว่าถ้าอากิเนะตั้งหลักได้ ความตายจะกลายเป็นของมัน
 
" ทำลาย " สิ้นเสียงตะโกนของมารร้าย บอลพลังสีดำนับสิบก็พุ่งไปยังกองไฟทมิฬที่กำลังลุกโชน
 
" ตูม ตูม ตูม......." เกิดเสียงดังสนั่น ไม่ต่างลูกระเบิดปืนใหญ่ และทุกครั้งที่บอลพลังงานผสานกับเพลิงอเวจี ไฟนรกก็จะกระพือแรงจนพุ่งสูงกว่าเดิม
 
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า......สำเร็จแล้ว และนี่ก็ตรงกับสุภาษิตที่พวกมนุษย์ชอบพูดกัน นั่นก็คือ......ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย " มารร้ายหัวเราะร่า มันรู้สึกสาแก่ใจที่เป็นฝ่ายพลิกเกม แต่นั่นก็เป็นชัยชนะที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เพราะสายตากลับประสบกับออร่าสีม่วงอมดำที่แรงกล้า อันปรากฏอยู่ตรงกึ่งกลางของเพลิงทมิฬ
 
" เดี๋ยวนะ ชักไม่เข้าทีแล้ว " มารร้ายสังหรณ์ใจไม่ดี จึงรีบเพ่งมองไปยังจุดเกิดเหตุ ทำให้ประจักษ์กับเจ้าของออร่าสีม่วงอมดำ นั่นก็คือ........อากิเนะ
 
" เฮ้ย.....มันยังไม่ตาย แล้วยัยเด็กนั่นกำลังทำอะไร " มารร้ายตะโกนดัง พร้อมจ้องมองไปที่คู่กรณี จึงเห็นว่าอากิเนะเอี้ยวตัวเล็กน้อย สองมือประสานกัน แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง ท่าทางเหมือนคนที่กำลังจับดาบสองมือ
      
 
       มารร้ายงงเป็นไก่ตาแตก เพราะท่วงท่าดังกล่าวดูไม่เหมือนคนที่กำลังทรมานในกองเพลิง แถมดวงตาของเด็กสาวก็แลเยือกเย็นจนน่าสะพรึงกลัว
 
" แปลกมาก ต้องเกิดเรื่องน่ากลัวแน่ๆ "
       
 
      ในที่สุด การคาดเดาของมารร้ายก็เป็นจริง เมื่อออร่าสีม่วงอมดำที่ห่อหุ้มกายของเด็กสาวเริ่มกระพือแรงและขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เพลิงทมิฬที่รายล้อมรอบตัวถึงกับปลิวกระจาย พร้อมพลังที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ
 
" เฮ้ย.....พลังของยัยเด็กนั่นสูงขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเกินกว่ามารชั้นสูงหลายสิบตนรวมกันซะอีก บ้าน่า เป็นไปไม่ได้ "
 
.........................
       
       เสี้ยววินาทีที่อากิเนะคิดว่าจะตายแน่ๆ ก็ดันเกิดเรื่องประหลาด ร่างกายพลันตื่นตัวกว่าปกติ ออร่าสีม่วงอมดำเปล่งประกายขึ้นมาเอง ราวกับว่ามันเป็นระบบป้องกันตัวอัตโนมัติที่ปรากฏในยามมีภัย มิหนำซ้ำ ยังมีเสียงหวานใสของหญิงสาวกระซิบที่ข้างหู มันเป็นกระแสที่เยือกเย็นและลึกลับในเวลาเดียวกัน
 
" จงประสานมือ แล้วเหวี่ยงไปข้างหลัง "
       
 
      แม้เสียงดังกล่าวจะไพเราะและอ่อนหวาน แต่ก็มีอำนาจบางอย่างที่สะกดให้อากิเนะรู้สึกเลื่อนลอย ปิดท้ายด้วยการทำตามคำสั่งแบบไม่มีเงื่อนไข ดวงตาจับจ้องมารร้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
 
" จากนั้น ก็เพ่งมองเป้าหมายให้ดีๆ แล้วปล่อยท่าไม้ตายของเจ้าออกไป "
 
" ท่าไม้ตายของข้าหมายความว่าไง ข้ามีของแบบนั้นด้วยเหรอ " ถึงอากิเนะจะครองสติได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังสำนึกได้ว่าตนไม่มีกระบวนท่าแบบนั้น เพราะตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยฝึกอาวุธหรือการต่อสู้ใดๆเลย ทว่า เสียงปริศนาก็ไม่ยอมคืนตั๋ว
 
" ลองนึกดูให้ดีๆ สิ่งนั้นอยู่กับเจ้ามาอย่างยาวนาน มันเป็นกระบวนท่าที่รุนแรงจนถึงขั้นถล่มฟ้า ทลายดินได้อย่างง่ายดาย "
        
 
        ถึงจะได้รับคำขาดจากเสียงปริศนา แต่อากิเนะก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ขณะที่จะส่งกระแสจิตเถียง ในหัวก็บังเกิดคำๆนึงขึ้นมา
 
" เฟอรัน "
       
 
        หลังสิ้นคำนั้น อากิเนะก็รู้สึกถึงพลังที่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างมากมาย ออร่าสีม่วงอมดำแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆจนผลักดันให้ไฟนรกถอยห่าง และในวินาทีดับจิต อากิเนะก็เหวี่ยงสองแขนออกไปข้างหน้า ท่วงท่าดูคล้ายคลึงกับการตวัดดาบขนาดใหญ่ถึงเก้าส่วน ปากก็ตะโกนดัง
 
" เฟอฟารันคอสโม "
 
" ซูม......."
        
 
       คลื่นพลังสีม่วงอมดำขนาดมหึมาพุ่งออกจากสองมือของอากิเนะ ความแรงของมันมีมากมายถึงขั้นสะท้อนเพลิงทมิฬและบอลพลังงานสีดำให้ปลิวกลับไปหาเจ้าของ นั่นก็คือ......มารร้ายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
 
" เฮ้ย.......แย่แล้ว " สิ่งเดียวที่มารร้ายกระทำได้คือร้องเสียงหลง พร้อมกับยกสองแขนขึ้นป้องกันร่างกาย หวังให้บาดเจ็บน้อยที่สุด และนั่นคือภาพสุดท้ายที่อากิเนะเห็น เพราะอมนุษย์ได้ถูกคลื่นพลังขนาดยักษ์กลืนกินจนหายไปทั้งตัว
        
 
        คลื่นพลังงานสีม่วงอมดำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ลอยไกลเป็นสาย ประดุจดังมังกรยักษ์ที่กำลังทะยานสู่สรวงสวรรค์ เพียงอึดใจเดียว กระแสของมันก็ลอยหายไปจนลับสายตา ทิ้งให้ความเงียบงันเข้าปกคลุมสถานการณ์
       
 
       อากิเนะยืนงง เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีท่าโจมตีที่รุนแรงระดับนี้ แต่สิ่งที่ควรสนใจจริงๆก็คือ.....มารร้ายที่หายไป
 
" ถึงจะเหลือเชื่อ แต่เราต้องให้ความสนใจกับอมนุษย์ตนนั้นก่อน ว่าแต่มันหายไปไหน "
      
 
       อากิเนะเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หลายวาระ ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงโอดโอยที่ดังอยู่ไม่ไกล
 
" โอย......"
     
 
        เด็กสาวหันไปยังทิศทางที่เกิดเสียง แล้วลอยเข้าไปหา มันอยู่กลางซากปรักหักพัง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 เมตรเท่านั้น และพอไปถึง เธอก็พบกับ......มารร้ายตนนั้น
 
" อูย....." อมนุษย์ครวญเบาๆ สภาพยับเยิน ไม่ต่างจากสุนัขที่ถูกรถสิบล้อทับซักสิบหน มันนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น เลือดสีดำโชกร่างที่เกือบเปลือย เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขาดวิ่นจนเกือบหมด เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง แถมดวงตาเรียวเล็กก็เหมือนจะปิดมิปิดแหล่
     
 
        แม้อากิเนะจะยังทึ่งกับพลังทำลายของกระบวนท่า แต่ก็ยังสลัดสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้ นั่นก็คือ.....
 
" ทีนี้เจ้าก็หมดฤทธิ์แล้ว บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าข้าคือใคร ทำแบบนี้ได้ยังไง "
      
 
        มารร้ายดูอิดโรยและไม่มีทีท่าจะหมกเม็ดเหมือนที่ผ่านมา สีหน้าแฝงแววศิโรราบอย่างแท้จริง ถ้าให้พูดตามตรง มันดูหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ ปากคอสั่นเทา ราวกับได้เห็นมัจจุราชมาล้างผลาญชีวิต
 
" กะ....กลัวแล้ว ยะ....อย่าทะ....ทำข้าเลย ยะ....ยอมบอกทุกอย่างแล้ว "
       
 
       นี่คือรีแอคชั่นที่อากิเนะคาดไม่ถึง แต่เธอก็ไม่ว่าอะไร เพราะมันทำให้เข้าใกล้ความจริง จึงตามติดด้วยการคาดคั้นเสียงแข็ง
 
" ในเมื่อยอมแพ้ ก็รีบบอกสิ่งที่ข้าอยากรู้มา "
      
 
       มารร้ายดูลนลานเหลือประมาณ ถ้ามันยังขยับตัวได้ รับประกันว่าคลานหนีไปถึงสุดขอบโลกแน่ๆ แต่ด้วยสังขารที่ใกล้ตาย จึงทำได้แค่แสดงสีหน้าหวาดกลัว พร้อมตอบเสียงสั่น
 
" ทะ....ท่านไม่ได้เป็นทายาทของเหล่าองครักษ์ ตะ....แต่ทะ.....ท่านคือ...."
 
" คืออะไร รีบว่ามา " อากิเนะตะโกนดัง เพราะร้อนใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมเฉลยซักที ทันใดนั้นเอง มือของมารร้ายก็ยกขึ้นมา พร้อมเปล่งแสงสีดำ
 
" เฮ้ย......มือของข้าขยับไปเอง อย่าทำแบบนั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจ " มารร้ายร้องบอกสุดเสียง แต่ตัวเองกลับปล่อยมนต์มรณะออกมา ทว่าอากิเนะก็เอี้ยวหลบได้อย่างหวุดหวิด
 
" นะ.....นี่เจ้าช่างเกินเยียวยา ลอบกัดข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า " อากิเนะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะถึงเป็นเธอในตอนนี้ แต่ถ้าโดนเวทนั้นเข้าไปเต็มๆ ก็น่าจะม้วยมรณา
 
" มะ.....ไม่นะ คะ....คราวนี้ ขะ...ข้าไม่ได้ทำ มะ....ไม่ใช่ฝีมือข้า " มารร้ายรีบแก้ตัวพัลวัน และคราวนี้ดูเหมือนมันจะพูดความจริง เพราะสีหน้าฉายแววฉงนอย่างชัดเจน
 
" ไม่ต้องมาแก้ตัว ไอ้มารร้ายจอมสับปลับ เจ้ามันเชื่อไม่ได้ " พออากิเนะพูดจบ ออร่าสีม่วงอมดำก็พวยพุ่งจากร่างบาง รังสีอำมหิตแผ่กระจายไปโดยรอบ นี่ยังไม่นับดวงตากลมโตที่เปล่งประกายเคียดแค้น
 
" ซะ.....ซวยแล้ว คะ.....คราวนี้ ไม่รอดนะ....แน่ " มารร้ายถึงทางตัน เพราะร่างกายดันน่วมจนขยับไม่ได้ แถมอริยังเป็นผู้ที่ทรงพลังถึงขั้นเขย่าโลก และเมื่อเด็กสาวยกมือขวาที่เปล่งแสงขึ้นมา อมนุษย์ก็หลับตา
 
" ฉึก......."
 
 
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalando นักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/Jalando.darksidewriter

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา