เมื่อคิมหันต์มาเยือน

9.0

เขียนโดย ตะวันอัศวิน

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.31 น.

  25 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,079 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 00.40 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ลงโทษ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ผมโยนกระเป๋าลงบนเตียง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มืออันสั่นเทายกขึ้นลูบใบหน้าและลำคอ ก่อนจะถอดแว่นออกและใช้นิ้วบีบสันจมูกเพื่อสงบสติ
ผมทำอะไรลงไป
ความคิดมากมายทะลักพรั่งพรูเหมือนเขื่อนเก็บน้ำที่เปิดออก อารมณ์ทั้งหลายประเดประดังเข้ามาจนรู้สึกแน่นทรวงอก ผมเงยหน้าขึ้นหันไปมองกางเกนเหนือประตูระเบียง จ้องมองนิ่ง ๆ ราวกับกำลังรอฟังคำตอบที่ไม่สามารถหาได้จากโลกนี้
พระเจ้าช่วยผมด้วย...โปรดอย่าทำให้ผมทุกข์ใจ อย่าทำให้ผมเสียเพื่อน และอย่าทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนผิด
ผมพยายามกล่อมตัวเองให้รู้สึกดีด้วยความคิดที่ว่า ทั้งหมดที่ทำลงไปคือการปกป้องตงเปียน แต่พอผ่านไปสักพักความคิดเหล่านั้นก็เริ่มเปลี่ยน กลายเป็นความอับอายและความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถอธิบายได้ มันบีบรัดจนผมทนไม่ไหวถึงขนาดต้องเดินรอบ ๆ ห้องเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ผมน่าจะเงียบและพาตงเปียนเดินหนีออกมา
ถ้าทำแบบนั้นผมกับชลเทพอาจจะยังรักษามิตรภาพเอาไว้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่ตอบโต้หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี
ผมไม่โกรธหรอกที่เขาตอกย้ำเรื่องชาติกำเนิดของผม แต่ผมทนไม่ได้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดใส่ตงเปียน ได้เห็นสายตาและท่าทางเหยียดหยาม นั่นต่างหากที่ทำให้ผมโกรธจนไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้เลย
เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เที่ยวพูดจาบาดหูและสร้างความบาดหมางไปทั่ว ผมรู้ว่าชลเทพเป็นคนดื้อรั้น แต่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาต้องใจร้ายกับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล ทว่านั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับการได้รู้ว่าคิมหันต์ใช้เวลาทั้งวันทำเรื่องเหลวไหลกับคนพวกนี้
แต่ผมก็ไม่ควรเดินจากมาโดยทิ้งคิมหันต์ไว้คนเดียวกับความรู้สึกหนักใจ
บางทีสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่ผมคิด เรื่องทุกอย่างอาจสลับขั้วโดยสิ้นเชิง ผมถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่
ผมใช้เวลาพักใหญ่ ๆ กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้สำเร็จ จากนั้นจึงนั่งรอคิมหันต์กลับห้องอย่างอดทน ขณะเดียวกันหัวใจก็เต้นระส่ำระสายอย่างวิตกกังวล
จนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่ม เสียงดังเอะอะข้างนอกค่อย ๆ เงียบหายไปพร้อมกับอากาศอบอุ่น เมื่อได้ยินเสียงกลอนประตูขยับและบานพับเปิดออก จึงปรากฏร่างของบุคคลที่ผมเฝ้ารอคอย
เพียงเวลาชั่วครู่ที่ดูเหมือนเนิ่นนานขณะเราสองคนสบตากัน ผมพร้อมแล้วที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ขอแค่อย่าให้เรารู้สึกต่อกันเพียงแค่รูมเมทที่ควรรักษาระยะห่าง เพราะสวรรค์รู้ว่าผมต้องการให้เราเป็นมากกว่าเพื่อนที่เข้าใจกันในทุก ๆ เรื่อง
 คิมหันต์ยืนยิ้มประหม่า ๆ อยู่ที่ปากประตู จากนั้นจึงลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ ผม เราอยู่ใกล้กันมากจนผมสังเกตเห็นว่าเสื้อและแขนของเขามีสีเปื้อนเปอะเป็นหย่อม ๆ  แถมยังได้กลิ่นโคโลญอ่อนจาง กลิ่นควันบุหรี่และกลิ่นฉุนของทินเนอร์จากตัวเขาอีกด้วย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่ไม่ลงตัวอย่างยิ่งทว่าผมกลับสูดหายใจเข้าลึกราวกับกำลังดมกลิ่นดอกไม้หอม
“รัน เราขอโทษจริง ๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย” คิมหันต์บอก สายตาไม่มองสิ่งอื่นใดนอกจากจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
“ไม่ต้องขอโทษเราหรอก เราต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องขอโทษ” ผมพยายามสุดความสามารถที่จะไม่หันไปทางอื่น
คิมหันต์เลิกคิ้วดกดำขึ้น
“ขอโทษเราเหรอ ขอโทษเรื่องอะไร” เขาถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ที่เราไม่ฟังที่นายพยายามห้ามเลยไง” ผมอธิบาย “สุดท้ายก็เป็นเรื่องจนได้”
คิมหันต์อมยิ้ม
“รันไม่มีอะไรต้องขอโทษเราทั้งนั้น เราเข้าใจดีว่าตอนนั้นนายรู้สึกยังไง”
ผมพยักหน้า ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามคำถามนั้น
“แล้วคิมได้สูบบุหรี่กับพวกไอ้ชลหรือเปล่า...เราตามหา...”
ผมชะงัก เกือบจะพลั้งปากพูดความรู้สึกนึกคิดแท้จริงออกไป ราวกับว่าหากทำเช่นนั้นคิมหันต์จะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวและจับได้ว่าผมคิดกับเขาอย่างไร กลัวเขาจะรู้ว่าผมอยากเห็นหน้ามากแค่ไหน หากแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยหรือคาดคั้นให้พูดประโยคที่เหลือต่อจนจบ
กลับกันเขาขยับเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสมือนมีคำพูดขออนุญาตกระซิบออกมา และในวินาทีที่หัวใจเหมือนย้ายขึ้นมาเต้นอยู่ในลำคอ  ณ ตอนนั้นเองหัวเข่าของเราก็สัมผัสกันอย่างนุ่มนวล
 “ใช่ เราสูบบุหรี่กับพวกนั้นจริง ๆ” เขายอมรับอย่างหนักแน่นโดยยังคงสบตาผมอยู่ “เราอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงก็เลยขอจากไอ้ชลมาลองสูบสักตัว ไม่มีใครบังคับเราเลยสักคน...เราเต็มใจทำเอง”
แต่ผมไม่มีสมาธิจดจ่อกับคำพูดของคิมหันต์เลยสักนิด เพราะทั้งหมดที่รับรู้ในตอนนี้คือผิวของเราที่กำลังสัมผัสกัน ซึ่งกางเกงขาสั้นเปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจรายละเอียดที่พลาดไปเมื่อคราวก่อน ทั้งความอบอุ่นและขนขาสากเคือง ผมเคลิบเคลิ้มไปกับมันจนเผลอใช้หัวเข่าขยับขึ้นลงตามขาอ่อนของอีกฝ่าย
และถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองมากจนเกินไปแล้วละก็ ผมคิดว่าอีกฝ่ายก็ตอบสนองกลับด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับของผมด้วยเช่นกัน มันเป็นสัมผัสที่เหมือนดังหมอกยามรุ่งอรุณ อบอุ่นและหนาวเย็นในเวลาเดียวกัน
ผมหลับตาลงพลางตั้งคำถามในใจ
นี่คือเรื่องจริงหรือเปล่านะ?
เพราะบางครั้งผมก็ฝันถึงเรื่องเหล่านี้บ่อยมากจนเริ่มรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริง
“อืม...” คิมหันต์ผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง
ผมชะงักและหยุดตัวเองเมื่อตระหนักว่ากำลังทำอะไรอยู่ หัวใจเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ คิมหันต์ขยับออกห่างเล็กน้อยและใช้มือข้างหนึ่งลูบท้ายทอย ส่วนผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัวเพราะเขินอาย
“อ...เอ่อ...ช่างมันเถอะ วัยรุ่นก็แบบนี้แหละ อยากรู้อยากลองไปหมด” ผมบอกและแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ “แต่คราวหลังนายต้องคิดให้มาก ๆ นะเวลาจะทำอะไร เพราะไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่ต้องนึกถึงพ่อแม่กับลุงของนายด้วย”
คิมหันต์พยักหน้า
แล้วจากนั้นเขาก็เล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาทำอะไรบ้างตั้งแต่เช้า เริ่มจากนั่งรถออกไปข้างนอกกับคุณพ่อประเสริฐเพื่อหาซื้ออุปกรณ์ถางป่าและทาสีกำแพงโรงเรียน แต่หลังจากที่คุณพ่อขอตัวไปทำงานอย่างอื่น พวกเขาก็พากันหลบไปนั่งพักที่ใต้ร่มเงาของกำแพง ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสูบบุหรี่เพื่อคลายเหนื่อยและเรื่องวุ่นวายทั้งหมด
ผมนั่งก้มหน้าฟังเงียบ ๆ จนจบ ถึงแม้จะดีใจที่ได้ทราบมูลความจริง แต่ก็ยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมรู้ว่าคิมหันต์เป็นคนฉลาดแต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังขาดความรอบคอบ
จะทำอย่างไรหากมีคนอื่นมาเจอ ผมคิด
เพราะต่อให้เป็นหลานของคุณพ่ออธิการก็ไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์นี้ เขาเสี่ยงที่จะถูกลงโทษสถานหนักหรือเลวร้ายสุดคือโดนไล่ออก
ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะเตือนสติคิมหันต์อย่างไรจนลืมสังเกตไปว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้ามากแค่ไหน เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าดวงตาของเขาหรี่ปรือและแดงระเรื่อ ไหล่ทั้งสองข้างที่เคยผึ่งผายกลับลู่ลง คิมหันต์ดูตัวเล็กลงจนผมอยากประคองเขาไว้ด้วยสองมืออย่างทะนุถนอม
แล้วเขาก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนหวาน ผมเขินมากจนต้องมองไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นสนใจปฏิทินที่ตั้งบนโต๊ะ
“อยู่นิ่ง ๆ แป๊บนึงนะ”
พูดจบคิมหันต์ก็ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง จากนั้นก็ซบไหล่ขวาของผมและหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
ผมตัวแข็งทื่อทันที สมองว่างเปล่าและประสาทไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไปนอกจากน้ำหนักบนไหล่
ในขณะที่ผมกำลังประหม่าและทำตัวไม่ถูก คิมหันต์ก็ได้ทำให้หัวใจของผมละลายอีกครั้งด้วยการใช้หัวเข่าคลอเคลียกับต้นขาของผม ตอนนี้ผมจึงมั่นใจแล้วว่านี่ไม่ใช่จินตนาการ เขาจงใจทำแบบนี้จริง ๆ
คิมหันต์กำลังทดสอบผมอยู่ใช่ไหม หรือว่าเขารู้แล้วว่าผมแอบชอบ
แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามผมไม่คิดจะสนใจมัน ณ ตอนนี้ เพราะขนขาซาก ๆ ที่กำลังบดขยี้กับขาอ่อนของผมได้ทำให้สมองมุ่งจดจ่อไปทางอื่นราวกับต้องมนตร์สะกด
ใช้หัวเข่าดันเข้าไปให้ลึกกว่านี้ บุกเข้าไปให้ถึงเป้ากางเกงของเขาแล้วลองดุนดันดูสิว่ามันจะตื่นตัวไหม จะคับแน่นกางเกงชั้นในเหมือนกับของผมตอนนี้หรือเปล่า จากนั้นก็รูดซิปลงมา...
“ขอบคุณมากนะ” คิมหันต์บอกหลังจากกลับไปนั่งหลังตรง “ถ้างั้นเราไปอาบน้ำก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าวัดแต่เช้า”
เขาตบไหล่ผมเบา ๆ ก่อนจะลากเก้าอี้ไปเก็บที่เดิม แล้วจึงเดินไปทางตู้เสื้อผ้าเพื่อหาของใช้อาบน้ำ
“อือ”
ผมครางตอบรับอย่างเหม่อลอย พลางมองตามแผ่นหลังกว้างที่หายลับไปหลังบานประตูเหมือนคนไร้สติ แล้วคืนนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย
เวลาผ่านมาจนถึงวันจันทร์ ตงเปียนกับผมไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันหลังเลิกเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนคิมหันต์ยังคงถูกปราการเหนี่ยวรั้งไว้ไม่เลิกจนเขาต้องยอมแยกไปนั่งด้วยที่โต๊ะอีกตัวซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในโรงอาหาร
“มึงว่าเราจะได้กี่คะแนน”
จู่ ๆ ตงเปียนก็เอ่ยถามถึงงานแปลบทความที่เพิ่งส่ง เขาต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงกระทบของช้อนกับถาดหลุมที่ดังระงมทั่วโรงอาหาร
ผมแกล้งทำเป็นครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“ได้เต็ม”
“โห มึงรู้ได้ไงอะ”
“กูมั่ว”
“แต่กูขอให้เป็นจริงเถอะ อาแมนนนนน” พูดจบเพื่อนตัวน้อยก็ทำสำคัญมหากางเขนอย่างรวดเร็วเพื่อขอให้สมหวัง ผมมองดูและได้แต่ส่ายหัว
ขณะรับประทานอาหารอยู่นั้นผมก็คอยลอบมองไปทางคิมหันต์ตลอด แม้จะอยากให้เรานั่งด้วยกันแต่เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาจากที่ไกล ๆ หัวใจก็เต้นแรงและรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นผมก็นึกถึงตอนที่หัวเข่าของเราสัมผัสกันขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“มึงยิ้มทำไมวะ” ตงเปียนทำหน้างง
“กูเปล่าสักหน่อย” ผมคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มและรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อน “เออ แล้วมึงหายโกรธไอ้ชลหรือยัง”
ตงเปียนจ้องหน้าผมราวกับว่านี่เป็นคำถามไม่เข้าท่า
“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนถาม” เขาว่า “มึงกับมันทะเลาะกันหนักกว่ากูอีก”
ผมเบ้ปาก
“เอาจริง ๆ กูก็ยังโกรธมันอยู่นะ แต่ช่างมันเถอะ” ผมถอนหายใจและพยายามผลักเรื่องนี้ออกไปจากสมอง
ตงเปียนไม่แสดงความเห็นใด ๆ กับคำพูดของผม
สักพักหนึ่งผมก็เห็นคุณพ่ออรรถพลลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ท่านเดินผ่านโต๊ะของเราและตรงไปยังบริเวณที่คิมหันต์กับเพื่อน ๆ กำลังนั่งกันอยู่ คุณพ่อคุยอะไรบางอย่างกับพวกเขา จากนั้นก็เดินออกนอกโรงอาหารไป
“พ่อพลไปคุยอะไรกับพวกนั้นวะ”
ผมหันไปถามความคิดเห็นจากตงเปียนแต่เขากลับเงียบเหมือนไม่ได้ยิน เมื่อผมถามอีกรอบเขาจึงวางช้อนลงอย่างนุ่มนวลและมองตาผม
“กูบอกพ่อพลไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวันเสาร์” เขาบอกด้วยน้ำเสียงแฝงความสะใจ “กูคิดว่าไม่น่าจะพ้นเรื่องนี้หรอก”
“อะไรนะ มึงบอกพ่อพลไปแล้วหรอ!”
“เออ” เขาตอบรับสั้น ๆ
แต่นั่นเปรียบเสมือนหมัดหนัก ๆ ชกเข้าที่ท้องจนจุก ผมพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่ ๆ จนตงเปียนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“มึงเป็นอะไรวะ”
ผมส่ายหัวทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่ากำลังทำหน้าเครียด
เมื่อเห็นว่าพวกคิมหันต์ทยอยออกจากโรงอาหาร ผมจึงรีบรับประทานให้เรียบร้อยและตามหลังไปติด ๆ โดยทิ้งตงเปียนไว้ที่นั่นอย่างไม่สนใจ ตอนนี้สมองไม่มีที่ว่างสำหรับความคิดอื่นใดนอกจากเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณพ่อจะทำอะไรกับพวกนั้นบ้าง? ผมคิดอย่างกลัดกลุ้มขณะเร่งเดินไปยังวัดน้อย
เมื่อมาถึงทุกคนก็เข้าไปข้างในนั้น ส่วนผมตัดสินใจแหวกเข้าไปในดงไม้พุ่มข้าง ๆ วัดและคอยแอบดูสถานการณ์จากช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่บานหนึ่ง
ภายในวัดประกอบไปด้วยคุณพ่ออรรถพล คุณพ่อประเสริฐและบราเดอร์วิน พวกท่านทั้งสามยืนอยู่ด้านหน้าพระแท่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ส่วนคิมหันต์ ชลเทพ ปราการและคนอื่น ๆ นั่งหน้าจ๋อยบนเก้าอี้ตัวยาวสำหรับสวดภาวนา ซึ่งบรรยากาศตอนนี้ดูตึงเครียดและน่าอึดอัดมากจนแทบจะจับต้องได้
“รู้ใช่ไหมว่าพ่อเรียกมาที่นี่ทำไม” เสียงของคุณพ่ออรรถพลดังก้องไปทั่วทั้งวัด ท่านกวาดสายตามองเด็กหนุ่มด้วยความอดทนอดกลั้น “พ่อไม่อยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อเสียเวลา งั้นเรามาเข้าประเด็นกันเลยดีกว่า”
คุณพ่อเริ่มเท้าความถึงเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันเสาร์แต่ไม่ระบุชื่อคนแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ ท่านหันไปถามคุณพ่อประเสริฐกับบราเดอร์วินเป็นครั้งคราวเพื่อขอคำอธิบาย จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ทำเอาใคร ๆ ก็ต้องหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปหลายนาทีในที่สุดท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
“พ่อขอให้เราบอกความจริงต่อหน้าพระเยซูเจ้ากับแม่พระ และถ้าใครรู้ตัวว่าทำผิดก็สารภาพออกมาจะดีกว่า” แล้วจึงกล่าวเสริมอีกว่า “มีใครอยากเล่าให้พ่อฟังไหม พ่ออยากฟังเรื่องราวจากฝั่งพวกเอ็งบ้าง”
ทว่าพวกเด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหรือแม้แต่จะกระดุกกระดิกเลยด้วยซ้ำ ราวกับว่าได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้คุณพ่ออรรถพลผิดหวัง ผมสังเกตได้จากสีหน้าบึ้งตึงและท่าทางของท่าน
ผมมองไปทางชลเทพ หมอนั่นดูเลิ่กลั่กมากที่สุด เขาหน้าซีดและทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่คิมหันต์กลับยกมือขึ้นตัดหน้าเสียก่อน ทำเอาทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว
“ผมเป็นคนชวนพวกมันสูบครับ ผมผิดเอง” คิมหันต์ว่า ใบหน้าเด็ดเดี่ยวไม่แสดงอาการหวาดกลัวใด ๆ
ทุกคนที่ได้ยินต่างมีสีหน้าตกใจ ชลเทพกับปราการอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว แต่คุณพ่ออรรถพลไม่แสดงอาการใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกันเมื่อได้ยิน ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เชื่อในสิ่งที่หลานชายพูดเสียด้วยซ้ำ คุณพ่อกำลังมองคิมหันต์ด้วยสายตาพิจารณาไตร่ตรอง
“เอ็งก็รู้ว่ามันผิดไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่ที่บ้านเณรเลย โรงเรียนไหน ๆ เขาก็มีกฎระเบียบห้ามเรื่องพวกนี้” คุณพ่อพูดเสียงเข้ม
“ครับ” คิมหันต์ว่า “ผมแค่อยากลอง”
“อยากลองรึ” คุณพ่อเลิกคิ้วสูงอย่างอดกลั้น “แล้วเอ็งไปเอาบุหรี่มาจากไหน”
“จากบ้านครับ”
คุณพ่ออรรถพลเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง สีหน้านิ่งเรียบยากที่จะคาดเดาความคิด
แล้วท่านก็หันไปสอบสวนคนอื่น ๆ เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงคุณพ่อประเสริฐด้วย ก่อนจะหันมาทางคิมหันต์อีกครั้ง
“เอ็งยอมรับจริง ๆ ใช่ไหมว่าเป็นคนชวนเพื่อนสูบบุหรี่” คุณพ่อมองคิมหันต์อย่างคาดหวัง
“ครับ” เขาตอบอย่างหนักแน่น
ผมเห็นแววเสียใจปรากฏบนสีหน้าของท่านเมื่อได้ยินคำตอบยืนยันของคิมหันต์
“ถ้าอย่างนั้นพ่อก็ขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้เอ็งสำหรับความผิดที่ได้ทำลงไป” คุณพ่อว่า “แต่ถึงอย่างนั้นพวกเอ็งทุกคนก็ต้องถูกทำโทษเข้าใจไหม”
พวกหนุ่ม ๆ พยักหน้าอย่างเศร้าสลด
แล้วจากนั้นคุณพ่อประเสริฐก็เดินนำทุกคนออกไปนอกวัดและสั่งให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานที่ลานปูอิฐตัวหนอน ผมแหวกต้นไม้และขยับเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อจะได้เห็นได้ถนัดตา หัวใจเต้นตึกตักด้วยความลุ้นระทึกและแทบอยู่นิ่งไม่ได้เลย
คุณพ่ออรรถพลรับไม้เรียวมาจากบราเดอร์วินและดัดมันจนโก่งงอดูน่ากลัวโดยมีคุณพ่อประเสริฐมองดูด้วยสีหน้ากังวลใจ ส่วนบราเดอร์วินก็ดูเป็นห่วงเป็นใยพวกเด็ก ๆ ไม่แพ้กัน จากนั้นการลงโทษก็เริ่มต้นขึ้น
ทุกคนแสดงสีหน้าเจ็บปวดเมื่อไม้เรียวฟาดลงที่ก้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังป๊าบ ทำให้เด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันหยุดดูเหตุการณ์อย่างสนใจ
คิมหันต์ถูกตีห้าครั้งโดยนับตามจำนวนเพื่อน ๆ ในกลุ่มซึ่งมีทั้งหมดห้าคน ส่วนที่เหลือโดนคนละสองครั้ง หวดแรกสำหรับความผิดโทษฐานที่ไม่ยอมห้ามคิมหันต์ ส่วนหวดที่สองสำหรับโทษฐานที่ยอมทำตามเขาและทุกคนต้องติดทัณฑ์บน
สักพักผมก็ตัดสินใจออกไปยืนรวมกับนักเรียนบางส่วนที่ถนนหน้าวัด สายตาไม่ละไปจากสีหน้าเจ็บปวดบิดเบี้ยวของคิมหันต์และคนอื่น ๆ  ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาโกหกไปเพื่ออะไร
เพื่อปกป้องเพื่อน? เพื่อปกป้องชลเทพ? หรือว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆ
ตอนนี้ผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความเท็จกันแน่
หลังการลงโทษสิ้นสุดลงทุกคนต่างก็แยกย้าย และเมื่อชลเทพเห็นผมก็ถลึงตามองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจนปราการและคนอื่น ๆ ต้องลากตัวไปอีกทาง ยกเว้นคิมหันต์ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและมองผมด้วยสายตาที่เจ็บปวด
“คิม...”
ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี การปลอบใจไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดและการถามซักไซ้ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเหมาะสม ณ ตอนนี้ ดังนั้นผมจึงยื่นมือออกไปวางบนบ่าของเขาอย่างนุ่มนวล หวังว่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกแย่ ๆ ได้บ้าง
คิมหันต์ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ก่อนจะจับมือของผมออกอย่างสุภาพและเดินจากไป ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้นกับความรู้สึกเหมือนฟ้าสวรรค์กำลังจะพังทลายลงมา
วันนั้นผมไม่มีสมาธิเรียนวิชาที่เหลือในช่วงบ่ายเลย ความคิดของผมเอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และถึงแม้ผมกับคิมหันต์จะนั่งข้างกันแต่เราก็เหมือนอยู่ห่างไกล สังเกตได้จากภาษากายที่อีกฝ่ายแสดงออก ทั้งสีหน้า องศาการหันตัวและหัวเข่าที่ชี้ไปทางอื่น
ผมอยากคุยกับเขาใจจะขาด อยากถามเกี่ยวกับเรื่องคาใจทั้งหมด และเหนือสิ่งอื่นใดผมอยากให้เขามองมาทางผมบ้าง ไม่จำเป็นต้องยิ้มหรือพูดอะไรทั้งนั้น ขอแค่มองมาเฉย ๆ ก็พอ
เมื่อฉุกคิดขึ้นได้ผมจึงพลิกสมุดไปด้านหลังและเริ่มต้นเขียนลงไป
เจ็บมากไหม เป็นยังไงบ้าง
เขียนเสร็จก็เลือนสมุดไปยังโต๊ะของคิมหันต์ เขาก้มมองอ่านครู่หนึ่งก่อนจะลงมือเขียน แล้วจึงส่งกลับมาภายในไม่กี่วินาที
ไว้คุยกันที่ห้อง
ผมอ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยความรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้อง มันไม่ใช่เพราะความวิตกกังวลหากแต่เป็นระลอกคลื่นแห่งความเบิกบาน ซึ่งมันคือกำลังใจเดียวที่ช่วยให้ผมอยู่รอดจนถึงตอนเย็น
“มึงเป็นอะไรวะ ไม่สบายเหรอ”
ตงเปียนเข้ามาหาผมระหว่างที่เดินกลับห้อง ผมหยุดที่กลางทางและยืนจ้องหน้าเขา
“เปล่า กูไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ กูเห็นมึงดูซึม ๆ แปลก ๆ”
“เออ กูไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” ผมตอบอย่างขอไปที “แล้ว...มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“ไปตีแบตด้วยกันไหม” ตงเปียนเอ่ยชวนด้วยสีหน้าคาดหวัง “ไอ้รัตน์กับไอ้นนท์ก็ไปด้วย”
“น่าสนใจนะมึงแต่กูมีนัดว่ะ โทษที”
เด็กหนุ่มทำหน้าจ๋อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นัดกับใครวะ” เขาถาม
“กับคิม” ผมตอบ
ตงเปียนนิ่งเงียบ สีหน้าดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
“อ่อ...โอเค”
“งั้นกูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“เดี๋ยวก่อนมึง” เขาเดินเข้ามาใกล้และคว้าข้อมือผมเอาไว้ “มึงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมเกี่ยวกับเรื่องที่กูบอกพ่อพล”
น้ำเสียงของตงเปียนฟังดูกังวล ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับคำถามนี้ แต่ที่รู้ ๆ คือผมไม่ได้โกรธตงเปียนแน่นอน
“หึ กูไม่ได้มีปัญหาอะไร” ผมบอกและฝืนยิ้ม “กูเข้าใจมึงนะ ไม่ต้องคิดมาก”
“โอเค” เขาว่า “ถ้างั้นวันหลังค่อยไปเล่นด้วยกัน”
ผมโบกมืออำลาก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
เมื่อถึงห้องผมก็รีบเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลอง จากนั้นก็ค้นหายาหม่องกับยาแก้อักเสบตามตู้และลิ้นชักต่าง ๆ  เสร็จแล้วจึงนั่งรอคิมหันต์กลับมาอย่างอดทน
ขณะเดียวกันผมก็ใช้เวลาช่วงนั้นครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายและพยายามเข้าข้างการตัดสินใจของตงเปียนด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสียพวกนั้นก็ทำผิดกฎระเบียบจริง ๆ  แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ผมสูดหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อผ่อนคลายสมอง หันไปมองหน้าต่างบานเกล็ดที่มีผ้าม่านสีน้ำตาลแหวกเปิดออก เผยให้เห็นท้องฟ้าภายนอกที่กลายเป็นสีส้มแก่สวยงาม ก้อนเมฆละลายเป็นเส้นบาง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว เปิดทางให้แสงแดดยามอัสดงส่องกระทบเตียงนอนอีกหลังที่อยู่ติดหน้าต่าง
แสงแดด ท้องฟ้าสีแสดกับกลิ่นอายของฤดูร้อนในอากาศคอยเตือนผมให้นึกถึงวันแรกที่ได้พบกะบคิมหันต์เสมอ
เช่นเดียวกับแสงในดวงตา แสงสะท้อนจากผิวสีชาและยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้ที่มักทำให้หัวใจของผมเต้นรัว
ผมนึกภาพตอนที่เราได้คุยกันหลังจากนี้ ผมควรจะถามเกี่ยวกับเรื่องสำคัญหรือใช้โอกาสนี้ถามเขาในเรื่องสนองตัณหาอย่างเช่น “นายตั้งใจใช้หัวเข่าชนกับขาเราใช่ไหม” หรือ “เคยทำแบบนี้กับใครมาบ้างหรือเปล่า” แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่มีวันทำแบบนั้นได้
ผมมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความระแวดระวัง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปทางเตียงนอนอีกฝั่ง นั่งลงและเอามือลูบไล้ผ้าปูเตียงอย่างเบามือ
ผมจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรหากคิมหันต์ไม่อยากมองหน้าผมอีกแล้วเพราะเรื่องในวันนี้ ผมคิด
ความเสียใจและความเศร้าคงกลืนกินผมจนไม่เหลือซาก และถ้าหากผมตกอับเกินกว่าจะรับไหวก็อาจทิ้งจดหมายให้คิมหันต์และหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปยังที่ที่มีอิสระจะทำตามหัวใจ สถานที่ที่ให้โอกาสได้เลือกจับมือกับพระเจ้าหรือปล่อยมือ แต่กระนั้นผมก็นึกภาพไม่ออกว่าจะเงยหน้ามองท้องฟ้าในฤดูร้อนได้อย่างไรโดยไม่รู้สึกอยากตาย
ในที่สุดผมก็เอนกายและนอนแผ่บนเตียง ปล่อยให้กลิ่นของคิมหันต์โอบอุ้มร่างของผมเอาไว้เงียบ ๆ  มันอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าจากการคิดมากผมจึงผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าห้องเปิดไฟสว่างไสว
คิมหันต์กำลังนั่งมองผมจากเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา ผมกระโดดออกจากเตียงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
“มานานหรือยัง” ผมถามขณะเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความขายหน้า
“ไม่นาน ประมาณสิบนาทีเอง” คิมหันต์บอก เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ผมพยักหน้างึก ๆ 
อย่างไรก็ตามถึงแม้คิมหันต์จะไม่เอ่ยถามว่าทำไมผมถึงขึ้นไปนอนบนเตียงของเขา แต่ผมก็รู้สึกว่าควรจะอธิบายให้ชัดเจน
“เอ่อ...เราขอโทษที่นอนบนเตียงของนายนะ” ผมพูดโดยไม่ยอมสบตา “พอดี...พอดีไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกน่ะ สงสัยจะเพลียก็เลยเผลอหลับไป”
“ไม่เป็นไร ตามสบายเลย” เขาบอกยิ้ม ๆ
“เจ็บมากไหม” ผมถามขณะแสร้งทำเป็นหยิบจับข้าวของบนโต๊ะเพื่อกลบเกลื่อนอาการเคอะเขิน
“โห เจ็บดิถามได้ โดนตั้งห้าที”
“งั้นเอายานี่ไปกิน พอหลังจากอาบน้ำเสร็จก็ทายาหม่องด้วยจะได้หายไว ๆ” ผมยื่นห่อยาให้เขา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำเช่นนี้
คิมหันต์ยื่นมือมารับและพลิกดูไปมา
“ขอบใจนะ”
ผมยิ้ม
จู่ ๆ เราสองคนต่างมองไปคนละทางราวกับพยายามหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมอง ขณะเดียวกันผมก็นับลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกความกล้า
“คิม มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงบอกพ่อพลไปแบบนั้น” ในที่สุดผมก็เข้าประเด็น “นายพูดออกไปแบบนั้นเพื่อปกป้องไอ้ชลเหรอ หรือว่า...หรือว่ามันคือความจริง”
“นายรู้ได้ไงว่าเราพูดอะไร” คิมหันต์ถาม เขามองผมด้วยสายตากึ่งประหลาดใจกึ่งสงสัย
“ก็...เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” ผมบ่ายเบี่ยง
คิมหันต์เกาที่ด้านหลังศีรษะด้วยสีหน้างุนงง
“อืมใช่ เราพูดออกไปก็เพราะอยากช่วยไอ้ชลนั่นแหละ” เขาตอบด้วยซุ่มเสียงที่ออกจะแข็ง ๆ อยู่บ้าง “ถ้าไม่ทำแบบนั้นมันต้องเดือดร้อนแน่ ๆ”
“เราเข้าใจนะว่านายอยากช่วยเพื่อน แต่นายไม่กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” ผมถาม
คิมหันต์ขมวดคิ้ว
“แต่นายเคยบอกเองนะว่าถ้ามีเรื่องอีกไอ้ชลโดนไล่ออกแน่” เขาว่า “แล้วถ้ารันเป็นเราล่ะ นายจะไม่ยอมช่วยเพื่อนเลยเหรอ”
คิมหันต์เว้นระยะไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกว่า
“แล้วถ้าเป็นเราล่ะ นายจะทำเพื่อเราไหม”
ผมจ้องหน้าคิมหันต์เขม็ง ปากคอแห้งผากไปชั่วขณะ
แน่นอนว่าผมเคยทำเรื่องลำบากใจบางอย่างเพื่อเพื่อนและคิดว่าคงทำมันได้อีก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะให้ความร่วมมือได้มากน้อยแค่ไหนเพราะในอีกแง่มันก็สวนทางกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
แต่ถ้าให้ผมพิจารณาด้วยหัวใจเปิดกว้างและอ่อนหวานเหมือนนักบุญสักองค์ ผมอาจจะยอมทำทุกอย่างแบบไร้ข้อแม้ด้วยความรักในเพื่อนมนุษย์ แม้ว่ามันจะทำให้ผมเดือดร้อนไปด้วยก็ตาม
ผมเผลอกัดปากขณะต่อสู้กับความรู้สึกในใจ
“ค...คือ...”
และในช่วงจังหวะที่ผมลังเลที่จะตอบ คิมหันต์ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ
“แต่เราทำเพื่อรันได้นะ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็เพราะว่ารันเป็นเพื่อนของเราไง”
ผมหน้าชาไปทันที
คิมหันต์จะยอมทำเพื่อผมอย่างนั้นหรือ? เขาพูดจริง ๆ ใช่ไหม?
ถ้าเช่นนั้นแล้วขอบเขตของการอุทิศตนนี้มีมากน้อยแค่ไหน?
ถึงผมจะรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ถ้าคิมหันต์ยอมโดนตีห้าครั้งและยอมเสียประวัติสมบูรณ์แบบเพียงแค่ต้องการช่วยชลเทพแล้วละก็ นั่นก็แสดงว่าเขาพูดจริง
ผมคิดขณะมองดวงตาสีน้ำตาลคิมหันต์ ลึก ๆ แอบหวังว่าอาจมีบางอย่างแอบแฝงอยู่ในคำว่า “เพื่อน” แต่ความนิ่งสงบของอีกฝ่ายได้ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้สื่อถึงอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น
ผมกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอและพูดออกมาในที่สุด
“อืม...เราก็ทำเพื่อนายได้เหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนกันนิ”
คิมหันต์ยิ้มก่อนจะก้มหน้ามองพื้น ขณะที่เสียงลมหายใจของผมสั่นผิดปกติราวกับฉากดึงอารมณ์ในละคร จากนั้นสักพักผมก็เอ่ยถามคิมหันต์อีกครั้ง
“แล้วนายไม่สงสัยเหรอว่าใครเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อพล”
คิมหันต์เงยหน้าขึ้นและส่ายหัว
“ไม่ใช่รันก็แล้วกัน” เขาว่า แววตาที่มองมามีประกายแห่งความเชื่อมั่น
นั่นทำให้ผมเกือบยิ้มออกมาด้วยความดีใจ หากแต่ก็ยังไม่ช่วยให้สบายใจได้เต็มร้อย
“คิม เรามีเรื่องจะขอร้อง”
“อะไรเหรอ”
“คือตอนนี้พวกไอ้ชลเข้าใจว่าเราเป็นคนฟ้องใช่ไหม”
ตอนแรกคิมหันต์เงียบไม่ยอมตอบ แต่แล้วก็พยักหน้า
“ถ้างั้นก็ปล่อยให้มันเข้าใจแบบนั้นไปเถอะ”
“หมายความว่ายังไง” คิมหันต์ว่า สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจ
“หมายความว่าเรากำลังช่วยปกป้องตงเปียนไง เหมือนที่คิมช่วยพวกเพื่อน ๆ นั่นแหละ”
คิมหันต์ทำตาโต
“ตงเปียนเป็นคนบอกพ่อพลเหรอ”
ผมชะงัก
“ใช่ แต่นายอย่าไปบอกใครนะเราขอร้อง”
ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้มาเกิดกับผมดีกว่า ผมไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แต่ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแย่ ๆ กับตงเปียนเพราะได้ยินมาว่าพ่อแม่ของเขาดุมาก หากมีรายงานความประพฤติไม่เหมาะสมแจ้งไปทางบ้านแล้วล่ะก็ ผมเดาว่าเขาคงโดนทำโทษแน่นอน
คิมหันต์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง เม้มปากอย่างครุ่นคิดและดูลำบากใจ
“แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง ไม่กลัวตัวเองจะเดือดร้อนเหรอ” คิมหันต์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ผมเหมือนเห็นตัวเองที่เคยถามคำถามนี้ในตอนแรก
ผมส่ายหัว
“ก็ถ้าคิมไม่กลัวเราก็ไม่กลัวเหมือนกัน” ผมตอบอย่างหนักแน่น
คิมหันต์จ้องมองผมนิ่งจนเริ่มรู้สึกประหม่า
“ว่าไงคิม ช่วยเราหน่อยนะ”
“ก็ได้ ๆ” เขาว่า “แต่นายแน่ใจนะว่าอยากให้เราทำแบบนี้จริง ๆ”
“แน่ใจสิ” ผมบอก “คิมไม่ต้องคิดมากหรอก”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ความจริงแล้วผมไม่รู้เลยว่าจะรับมืออย่างไรและจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีที่ได้ปกป้องเพื่อน และตอนนี้ผมก็เริ่มเข้าใจหัวอกของคิมหันต์แล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา